พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 154 เพียรพยายาม
ตอนที่ 154 เพียรพยายาม
อันหลิงเกอฉีกยิ้มอย่างสุภาพแต่ก็รักษาระยะห่างกับลู่จ้านที่อยู่ตรงหน้า “ข้าเพียงใช้เวลาว่างฝึกมิกี่ครั้งเท่านั้น เกรงว่าทำให้คุณชายลู่หัวเราะเยาะแล้ว”
ตั้งแต่นางกลับชาติมาเกิดใหม่ นางมิได้เพียงสะสมสมุนไพรอย่างเดียว แต่เพื่อปกป้องมิให้อันหลิงอีทำร้ายโดยตนไร้แรงตอบโต้เหมือนชาติก่อน นางจึงฝึกยิงธนูทุกวันและซ่อนยาพิษสามถึงห้าชนิดไว้ในกระเป๋าแขนเสื้ออีกด้วย
คาดมิถึงเช่นกันว่านางจักได้ใช้ทักษะยิงธนูรวดเร็วถึงเพียงนี้
ทว่าเมื่อนึกถึงการกระทำเมื่อครู่ของอันหลิงอี แววตาของอันหลิงเกอก็สั่นไหว
อันหลิงอีถูกอันอิงเฉิงและหลี่อี๋เหนียงตามใจมาตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่ในจวนก็มีตัวตนเป็นดั่งดวงจันทร์ที่มีดวงดาวเป็นบริวารล้อมรอบตลอด เมื่อก่อนมิเคยต้องทนทุกข์แม้แต่น้อย แรงกระแทกอันใดก็มิเคยได้รับ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับโจรภูเขาที่ดุร้าย นางกลับกล้าไปยืนขวางหน้าอันอิงเฉิงเพื่อปกป้องความปลอดภัยให้บิดา
นอกจากแม่หมูสามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้ มิเช่นนั้นอันหลิงเกอก็มิเชื่อว่าอันหลิงอีมีจิตใจเสียสละอันยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้
อีกทั้งโจรภูเขาพวกนั้นก็ดูแปลก เนื่องจากโจรภูเขาทั่วไปจักปล้นคนรวยที่ไร้อำนาจ แม้แต่ขุนนางขั้นสี่หรือห้าก็ยังมิกล้าแตะ ทว่าวันนี้โจรได้รู้ฐานะของพวกตนแล้วยังมิเก็บมาใส่ใจ ราวกับมิกลัวว่าจักมีเรื่องกับทางการ
เรื่องน่าสงสัยที่สุดคือตอนที่อันหลิงอีพุ่งเข้าไปขวางหน้าท่านพ่อ โจรภูเขากลับเลือกโจมตีอันอิงเฉิงเพียงผู้เดียว
ตามหลักแล้วสตรีอ่อนแอกว่าบุรุษ นางควรตกเป็นเป้าหมายของโจรภูเขาก่อน แต่พวกมันกล่าวเพียงแค่มิกี่ประโยคก็มารวมตัวจัดการอันอิงเฉิงแล้ว
มีเพียงตอนที่รู้ว่านางอยู่ในรถม้า หัวหน้าโจรภูเขาถึงได้มีจิตสังหารอย่างแท้จริง ราวกับว่าเป้าหมายของพวกมันคือการสังหารตน
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นอันหลิงเกอก็ทำได้เพียงหลับตาซ่อนความคิดไว้ในใจ
ส่วนอันหลิงอีเดินมาอยู่ตรงเบื้องหน้าลู่จ้านแล้วก้มหน้า หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
ลู่จ้านมีท่าทางราวกับเทพลงมาจุติ ความกล้าหาญเมื่อครู่ทำให้หัวใจอันหลิงอีเต้นมิเป็นจังหวะ
นางมิเคยคิดมาก่อนว่าจักมีบุรุษที่หล่อเหลาเหมือนมู่ซื่อจื่อ อีกทั้งยังร้ายกาจและมีความโดดเด่นถึงเพียงนี้
เมื่อได้ฟังจากที่ท่านพ่อกล่าวคือเขาเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ลู่ ฐานะมิได้ต่ำต้อยแม้แต่น้อย
หากมิได้สมรสกับมู่ซื่อจื่อ เยี่ยงนั้นได้แต่งกับบุรุษผู้นี้ก็มิเลว
ในขณะที่อันหลิงอีกำลังคิดเยี่ยงนี้ นางก็เผยใบหน้าเขินอายออกมาและเอ่ยกระทบอันหลิงเกอ “ฝีมือยิงธนูของพี่หญิงใหญ่เก่งกาจไปก็เท่านั้น หากเมื่อครู่พี่หญิงใหญ่ออกมาปกป้องท่านพ่อตั้งแต่แรก ท่านพ่อก็มิต้องตกใจหรอก น่าเสียดายที่ข้าทำอันใดมิได้สักอย่าง จึงได้แต่ยืนขวางตรงหน้าท่านพ่อเพื่อถ่วงเวลาให้”
นางเผยความดีของตนต่อหน้าลู่จ้านว่าสามารถเสียสละเพื่ออันอิงเฉิงได้เพียงใด แต่อีกนัยหนึ่งก็กล่าวหาอันหลิงเกอต่อหน้าลู่จ้านด้วย
คำกล่าวของอันหลิงอีบ่งบอกว่าอันหลิงเกอมีฝีมือยิงธนูดีถึงเพียงนี้กลับมิสนความเป็นตายของบิดา ช่างเลือดเย็นและไร้หัวจิตหัวใจ
อันอิงเฉิงได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงอีก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
“กล่าวเยี่ยงนั้นก็มิได้ เพราะเมื่อครู่ข้าเห็นคุณหนูใหญ่อันใช้ตนเองดึงความสนใจโจรภูเขาเพื่อให้พวกท่านมีทางหลบหนีต่างหาก”
ลู่จ้านกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเล่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ออกมา “เมื่อครู่ตอนที่โจรภูเขาโจมตีท่านโหว คุณหนูใหญ่อันก็รีบยิงธนูไปที่หัวหน้าโจรภูเขาทันทีจึงช่วยชีวิตท่านโหวไว้ได้ แต่นางตกเป็นเป้าของโจรและเกือบเอาชีวิตมิรอด”
นี่เป็นทางบนหุบเขาที่คดเคี้ยวและสามารถมองเห็นเหตุการณ์เบื้องล่างจากด้านบนได้อย่างชัดเจน
ตอนที่โจรภูเขากระโดดออกมา เขากำลังดูฉากนี้อยู่พอดี ดังนั้นจึงสามารถมาช่วยได้ทันเวลา
อันอิงเฉิงย้อนนึกถึงว่าเพราะอันหลิงเกอยิงธนูโดนแขนหัวหน้าโจรภูเขาจนบาดเจ็บ ลูกน้องโจรก็ถูกดึงดูดความสนใจไปแล้ว ลู่จ้านจึงเข้ามาช่วยเอาไว้
“เกอเอ๋อเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด แม้เผชิญหน้ากับโจรภูเขามากมายเพียงนี้ก็ดูมิหวาดกลัวแม้แต่น้อย”
อันอิงเฉิงกล่าวพร้อมใบหน้าเปี่ยมความภาคภูมิใจ ราวกับที่อันหลิงเกอเก่งกาจถึงเพียงนี้ก็เป็นหน้าเป็นตาของจวนโหว
หลี่ซื่อที่อยู่ข้างกายเห็นโจรภูเขาสังหารอันหลิงเกอมิสำเร็จจึงมีใบหน้ามืดมนอยู่นานแล้ว
ในตอนนี้อันหลิงเกอถูกท่านโหวเอ่ยชม ทำให้แผนที่นางวางไว้อย่างดีล้มเหลวมิเป็นท่าและยังทำให้อันหลิงอีมิได้สร้างภาพบุตรสาวแสนดีต่อหน้าบิดา นางจึงได้แต่ขบกรามแน่น แทบอยากกัดกินเลือดเนื้อของอันหลิงเกอเข้าไปเดี๋ยวนี้
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่จ้าน นางต้องแสร้งทำทีเป็นอี๋เหนียงที่แสนดี “ถูกต้องแล้ว หากมิได้เกอเอ๋อกับคุณชายลู่ช่วยไว้ วันนี้พวกเราต้องโชคร้ายแน่ ๆ อีเอ๋อถูกเลี้ยงตามใจมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่นางออกไปยืนขวางท่านพี่ ข้าเองก็ตกใจแทบแย่”
ในเวลานี้หลี่ซื่อแสร้งทำเป็นชมอันหลิงเกอ แต่ก็แอบเตือนอันอิงเฉิงว่าเมื่อครู่อันหลิงอีก็ใช้ชีวิตแลกกับความปลอดภัยของเขา
อันอิงเฉิงจักมิซาบซึ้งได้เยี่ยงไร ทำให้เขาลืมเลือนไปชั่วครู่ว่าอันหลิงอีเคยทำเรื่องชั่วร้ายเพียงใดไว้ ตอนนี้เพียงคิดว่าตนเข้าใจบุตรสาวคนนี้ผิดมาโดยตลอด
เห็นได้ชัดว่าอีเอ๋อเป็นเด็กดี น่ารักและมีน้ำใจ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าก็เป็นแค่นิสัยเด็ก ๆ ของนางที่ใจร้อนเกินไปจนก่อเรื่องร้ายขึ้นมา
ตอนเป็นผู้เยาว์ ใครมิเคยทำเรื่องผิดพลาดบ้างเล่า เมื่ออยู่ท่ามกลางหายนะ อีเอ๋อกลับวางบิดาคนนี้ไว้ในตำแหน่งสำคัญที่สุด แค่นี้ก็บ่งบอกแล้วว่านางมิได้มีนิสัยเลวร้าย เพียงแค่เอาแต่ใจตนเองเท่านั้น
“อีเอ๋อก็ทำให้ข้าตกใจมากเหมือนกัน คาดมิถึงว่าพอนางโตแล้วจักรู้จักปกป้องบิดา”
ลู่จ้านมิได้อยากมาฟังครอบครัวสนทนากัน ถ้ามิได้เป็นเพราะอันหลิงเกออยู่ที่นี่ เขาคงช่วยแล้วก็รีบไป มิต้องมาฟังพวกเขาพูดมากถึงเพียงนี้
เมื่อเห็นอันอิงเฉิงยังอยากให้เขาอยู่ต่ออีกสักพัก ลู่จ้านก็ฝืนยิ้มออกมาแล้วเอ่ยปากว่า “ท่านโหวสอนบุตรได้ดี คุณหนูทั้งหลายหรือซื่อจื่อล้วนมีความกล้าหาญทำให้คนเลื่อมใสแล้ว”
อันอิงเฉิงหัวเราะออกมาราวกับได้พบคนรู้ใจ เขารีบพาลู่จ้านมานั่งรถม้าคันเดียวกับตน
ลู่จ้านลังเลครู่หนึ่ง แต่พอเห็นสายตาอันอิงเฉิงที่มองไปยังผืนป่าโดยรอบแล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายยังหวาดกลัวโจรภูเขาจักกลับมาทำร้ายอีก
ตัวเขาเองก็ยังกังวลว่าโจรภูเขามิยอมแพ้จึงตกลงรับคำเชิญของอันอิงเฉิง
เมื่อเห็นเช่นนั้นอันอิงเฉิงก็รู้สึกดีใจยิ่งกว่าอันใดและเลือกรถม้าคันดีที่สุดให้ลู่จ้าน
เดิมทีลู่จ้านมิอยากให้อีกฝ่ายจริงจังเพียงนั้น แต่ก็ห้ามอันอิงเฉิงมิได้จึงได้แต่ยอมรับการจัดเตรียมของอีกฝ่าย
ส่วนอันหลิงอีก็ค่อย ๆ ยกเปลือกตามองสำรวจตัวลู่จ้าน นางเห็นเพียงคิ้วคมเข้มและสายตาลุ่มลึกของเขา เมื่อมองก็ราวกับทำให้คนเสียสติได้ทันที
ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อ มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อจับกันแน่น
อีกมินานมู่ซื่อจื่อก็ไปม่อเป่ยแล้ว ยังมิรู้ว่าจักกลับเมืองหลวงเมื่อไร เช่นนั้นก็หาโอกาสลงมือกับลู่จ้านดีกว่า เพราะในอนาคตได้เป็นฮูหยินท่านแม่ทัพก็สามารถสู้อันหลิงเกอได้เช่นกัน
ขณะที่อันหลิงอีมีความคิดเช่นนี้ นางกลับมิรู้ว่าการที่ลู่จ้านยอมเดินทางพร้อมพวกนางก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของอันหลิงเกอ ในใจเขามิได้มีอันหลิงอีอยู่แม้แต่น้อย