พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 157 อัปมงคล
ตอนที่ 157 อัปมงคล
แม้อันหลิงเกอฉลาดและร้ายกาจจริง หากมาแย่งบุรุษที่นางชอบก็ต้องตายอยู่ดี!
อันหลิงอีคิดได้เช่นนั้นก็เผยแววตามืดมนออกมา แม้นางแตะต้องอันหลิงเกอมิได้ชั่วคราว แต่ก็มิได้แปลว่านางจักแตะต้องมิได้ไปชั่วชีวิต
รอให้วันใดมีโอกาส นางต้องใช้มีดกรีดใบหน้าของจิ้งจองอันหลิงเกอทีละเล่มอย่างแน่นอน สุดท้ายค่อยนำศพไปโยนให้หมาป่าบนภูเขากิน
นางจักทำให้อันหลิงเกอนอนตายตามิหลับและต้องให้ศพอันหลิงเกอมีสภาพน่าเกลียดที่สุด !
อันหลิงอีมิรอให้โอกาสสังหารอันหลิงเกออีกครั้งมาถึง นางก็คิดแผนการชั่วร้ายออกแล้ว
“ท่านแม่ ในเมื่อตอนนี้เรากำจัดอันหลิงเกอมิได้ เยี่ยงนั้นเราก็ทำลายชื่อเสียงของนางสิเจ้าคะ”
อันหลิงเกอเก่งวิชาแพทย์และการยิงธนูน่ะหรือ? จักสามารถหลบหลีกคมดาบหรือลูกธนูได้ก็ช่าง แต่จักป้องกันคำว่าร้ายของผู้อื่นได้เยี่ยงไร ?
รอให้พวกนางทำลายชื่อเสียงของอันหลิงเกอสำเร็จแล้ว ต่อให้อันหลิงเกอร้ายกาจเพียงใดก็มิสามารถแบกรับชื่อเสียงเน่าเฟะไปชั่วชีวิตได้หรอก
หลี่ซื่อเห็นอันหลิงอีมีความคิดบางอย่าง นัยน์ตาจึงเปล่งประกายขึ้นมาและกล่าวอย่างดีใจว่า “อีเอ๋อ เจ้ามีแผนการอันใดก็รีบเล่าให้แม่ฟัง”
“ท่านแม่ลองคิดนะเจ้าคะ มิว่าอันหลิงเกอไปอยู่ที่ใดก็มีปัญหาตามมาตลอด แล้วมันมิได้เป็นเพราะนางคือตัวหายนะหรอกหรือ ? ดังนั้นพวกเราลงมือจากเรื่องนี้คือทำให้นางแบกชื่อเสียงตัวอัปมงคล ต่อจากนั้นก็จักมีคนจำนวนมากตีตัวออกห่างจากนางและมิแน่ว่าอาจมีคนซ้ำเติมด้วย หลังจากนั้นพวกเรามีโอกาสลงมือกับนางแล้วเจ้าค่ะ”
ยังจำที่หลี่ซื่อเคยเล่าให้นางฟังว่าอันหลิงเกอดึงคนในจวนไปเป็นพวกเกินกว่าครึ่ง หากพวกนั้นรู้ว่าอันหลิงเกอเป็นตัวอัปมงคล มิว่าผู้ใดเข้าใกล้ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย แล้วจักมีผู้ใดยอมเข้าใกล้อันหลิงเกออีก ?
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นริมฝีปากของอันหลิงอีก็ยกยิ้ม ขอแค่ทำให้อันหลิงเกอแบกชื่อเสียงเยี่ยงนี้ได้ ชีวิตของอันหลิงเกอก็จักถูกคนรังเกียจเพราะเป็นตัวอัปมงคลที่โดนทุกคนด่าทอและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไปจนตาย
แม้พวกนางอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ แต่คนนอกมิรู้ความจริง ขอแค่พวกนางปล่อยข่าวออกไป คนพวกนั้นก็ต้องเชื่อข่าวโคมลอยนี้อย่างแน่นอน
ในตอนนี้เองริมฝีปากของหลี่ซื่อก็ยกยิ้มเช่นกัน รอยยิ้มของสองแม่ลูกแฝงไปด้วยความชั่วร้าย หลังจากนั้นหลี่ซื่อก็กล่าวว่า
“อันหลิงเกอเสียแม่ไปตั้งเด็ก พวกเราก็สามารถทำให้นางแบกชื่อเสียงว่าเป็นคนสังหารมารดาได้อีกด้วย”
เมื่อเป็นเยี่ยงนั้นจักมีสกุลใดอยากเลือกสตรีที่มีดวงอัปมงคลจนแม้แต่มารดายังสิ้นลมเยี่ยงนางไปแต่งเข้าจวนอีก
ในเวลานั้นอันหลิงเกอจักแย่งสามีอีเอ๋อมิได้และจักอาศัยตำแหน่งคุณหนูใหญ่มาข่มเหงอีเอ๋อได้เยี่ยงไร ?
คำกล่าวนี้ของหลี่ซื่อถือเป็นการบอกว่าเห็นด้วยกับวิธีของอันหลิงอี นางจึงดีใจยิ่งกว่าอันใด “ท่านแม่ ท่านสั่งให้คนออกไปปล่อยข่าวเลยสิเจ้าคะ ผ่านไปมิเท่าไร อันหลิงเกอต้องมีชื่อเสียงเป็นตัวอัปมงคล และบางทีท่านพ่อจักส่งนางไปอยู่นอกจวนเพราะกลัวทำให้จวนโหวเดือดร้อนไปด้วย”
หากสามารถส่งอันหลิงเกอไปอยู่ในสถานที่ทุรกันดารสักแห่งได้ นางก็สามารถใช้โอกาสนี้ทำให้อันหลิงเกอตายอยู่ที่นั่นโดยมิมีผู้ใดทราบว่าเป็นฝีมือของนาง
หลี่ซื่อมองครู่หนึ่ง แม้อีเอ๋อคิดวิธีออกก็จริงแต่การลงมือยังอ่อนหัดเกินไป
แม้การปล่อยข่าวลือเป็นเรื่องง่าย ทว่าคนจำนวนมากมิยอมเชื่อเนื่องจากแค่ได้ยินโดยมิได้เห็นจริงกับตา จักมีคนยอมเชื่อสักกี่คน ?
แม้คนนอกเชื่อข่าวนี้มากเพียงใด แต่ก็สู้ฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อเรื่องนี้คนเดียวมิได้
โบราณกล่าวไว้ว่า ได้ยินมิสู้ได้เห็น ถ้าทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าอันหลิงเกอเป็นตัวหายนะตัวอัปมงคลแล้วจักลำเอียงเข้าข้างอันหลิงเกออีกหรือไม่ ?
มนุษย์ยิ่งอายุมากขึ้นก็เลิกงมงาย มิมีความสงสัยเรื่องภูติผีหรือเทพเซียนอันใดทั้งสิ้น
ดังนั้นคนที่ทำให้อันหลิงเกอมีชื่อเสียงเป็นตัวอัปมงคลต้องเป็นฝีมือฮูหยินผู้เฒ่า
หลี่ซื่อจึงบอกข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้ให้อันหลิงอีฟังอย่างละเอียด แม้อันหลิงอีมิมีใจฟังหลักการของมารดา แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอันหลิงเกอ นางจึงอดทนตั้งใจฟังจนหลี่ซื่อกล่าวจบ
“เจ้าลองนึกว่าหากแม่ส่งคนไปกระจายข่าว ท่านย่าได้ยินแล้วนางก็มิมีทางเชื่อ แต่ถ้านางเห็นด้วยตาตนเองก็ต้องยอมเชื่ออยู่ดี”
อันหลิงอีรู้ทันทีว่ามารดามีความคิดบางอย่าง รอยยิ้มมุมปากจึงดูร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม “ต้องทำเยี่ยงไรเจ้าคะ ท่านแม่รีบเล่าให้ลูกฟังเร็วเข้า”
หลี่ซื่อคลี่ยิ้ม ลดเสียงลงต่ำแล้วเล่าแผนการให้อันหลิงอีฟัง
ส่วนเถ่าหงโดนไล่ไปนานแล้ว จนถึงตอนนี้หลี่ซื่อจึงตะโกนเรียกให้นางเข้ามาอีกครั้ง จากนั้นก็ออกคำสั่งอีกสองสามประโยคแล้วโบกมือให้นางไปจัดการ
….
เช้าตรู่วันต่อมา หลี่ซื่อและอันหลิงอีก็เดินทางมายังเรือนชิงเฟิงของฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จและเว่ยอี๋เหนียงกำลังชงชาให้นาง
กลิ่นชากุหลาบหอมหวานลอยตลบอบอวลไปทั้งเรือน
เพิ่งก้าวเข้าไปในเรือน หลี่ซื่อก็ได้กลิ่นนี้แล้ว นางขมวดคิ้วอย่างมิรู้ตัว คิดดูถูกฝีมือการชงชาเพื่อเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าของเว่ยอี๋เหนียง แต่ในเวลาเดียวกันก็ค่อนข้างอิจฉา
เพราะตอนนั้นนางประมาทเอง มิเห็นความสำคัญของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นจึงค่อนข้างเมินเฉยต่อฮูหยินผู้เฒ่า พอรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งมิชอบนาง แม้แต่อีเอ๋อก็มักโดนทำเย็นชาใส่เสมอ
แต่เว่ยอี๋เหนียงก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเกิดมามีฐานะต่ำต้อยเป็นแค่สาวใช้ รูปร่างหน้าตาถือว่าดูดีอยู่บ้าง ประสบการณ์ชีวิตก็มิได้มากมายอันใด แม้แต่จัดการงานให้ผู้อื่นก็ยังสู้นางมิได้ ทว่าก็มีฝีมือชงชาจึงเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าได้ มิให้นางอิจฉาได้เยี่ยงไร ?
หลี่ซื่อรีบเก็บเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าเผยรอยยิ้มสดใสพร้อมเดินเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทางมีความสุข
“*เชี่ยเซินคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
นางฉีกยิ้มร่าเริง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าทำท่าทีเย็นชาใส่ “เหตุใดวันนี้จึงมาถึงนี่ได้ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาอยู่จวนโหวได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว นางมิเคยให้ผู้ใดมาคารวะที่เรือนยามเช้า หลี่ซื่อมิเอาใจนาง ท่าทีก็มิได้สุภาพสักเท่าไร ดังนั้นมิมีทางมาที่นี่โดยไร้จุดประสงค์
หลี่ซื่อได้ฟังก็ชะงักเพราะท่าทีมิแยแสของฮูหยินผู้เฒ่า รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลงมิน้อย
ทว่าเพื่อเป้าหมาย นางจึงแสร้งทำมิเก็บมาใส่ใจและกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “เมื่อครู่ข้าเดินผ่านข้างนอก เห็น*นกกระเรียนมงกุฎแดงบินลงในลานจวนชิงเฟิงตัวหนึ่งจึงคิดว่าเป็นฤกษ์มงคลบางอย่างจึงรีบมาคารวะท่านแม่ เผื่อจักได้มีสิริมงคลกับเขาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังก็เผยแววตาประหลาดใจขึ้นมา เหตุใดนางมิรู้ว่าในจวนมีนกกระเรียนมงกุฎแดงอยู่ด้วย ?
ดูจากท่าทางของหลี่ซื่อก็เหมือนมิได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าแล้วให้เว่ยอี๋เหนียงที่อยู่ด้านข้างหยุดมือพร้อมเอ่ยออกมา “มีเรื่องเยี่ยงนี้ด้วยหรือ ? ”
“เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าเห็นกับตาตนเองว่านกกระเรียนมงกุฎแดงตัวนั้นบินมาตกในลานของเรือนท่านแม่ ท่านแม่ตามข้าออกไปดูสิเจ้าคะ”
หลี่ซื่อคลี่ยิ้ม ใบหน้าไร้พิรุธ
ฮูหยินผู้เฒ่าเกิดความสงสัยจึงเดินตามหลี่ซื่อออกจากเรือน
นางหันไปมองโดยรอบเรือน ทันใดนั้นก็เห็นนกกระเรียนมงกุฎแดงบินจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของเรือน
“เร็ว ! เร็วเข้า รีบตามไป ! ”
นกกระเรียนมงกุฎแดงถือเป็นสัตว์มงคลจักปล่อยให้มันหนีไปมิได้ !
ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นเต้นยิ่งกว่าอันใด ทว่าทางฝั่งหลี่ซื่อยกยิ้มอย่างได้ใจและรีบสั่งคนไปจับนกกระเรียนมงกุฎแดงตัวนั้นทันที
…..
*เชี่ยเซิน คือคำเรียกตัวเองอย่างถ่อมตนของผู้หญิงจีนโบราณ
*นกกระเรียนมงกุฎแดง คือนกหายากเป็นอันดับสองของโลก เปรียบเสมือนสัตว์ที่มีความสำคัญตามตำนานในเทพนิยาย เป็นตัวแทนของโชคลาภ ความเป็นสิริมงคล ความรักและความจงรักภักดี โดยเฉพาะในเรื่องของความรัก เพราะตลอดชีวิตมีเพียงรักเดียวแม้ว่าคู่ของมันตายไปก็จะไม่มีคู่ใหม่