พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 173 บังเอิญ
ตอนที่ 173 บังเอิญ
ฮูหยินผู้เฒ่ามิพอใจเยี่ยงไร อำนาจดูแลจวนก็ยังตกอยู่ในมือของหลี่ซื่อ
ปี้จูถอนหายใจด้วยความรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง “เดิมทีบ่าวคิดว่าคราวนี้จักสามารถจัดการฮูหยินรองได้แล้วเสียอีก แต่ใครจักคิดว่าท่านโหวยืนข้างนาง แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ทำอันใดมิได้เจ้าค่ะ”
เดิมทีคุณหนูโดนหลี่ซื่อทำให้ตาบอด มิรู้ว่าคนผู้นี้คิดร้ายกับนาง หลังจากนั้นพวกบ่าวก็ได้รับสัญญาณจากหลี่ซื่อแล้วเข้ามารังแกคุณหนู และนางก็มิเคยเก็บมาคิดมาก
ปี้จูหลงเข้าใจผิดว่าคราวนี้คงสามารถยึดอำนาจดูแลจวนจากหลี่ซื่อมาได้ และเมื่อถึงเวลานั้นก็ทำให้สองแม่ลูกได้ลิ้มรสชาติที่คุณหนูโดนกระทำว่ามันเป็นเยี่ยงไร
เมื่อหมิงซินได้ยินก็ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากปี้จู พร้อมรอยยิ้มจนปัญญาบนใบหน้า “ฮูหยินรองดูแลจวนโหวมานานถึงเพียงนี้ ท่านโหวก็ต้องรักนางมากอยู่แล้ว คิดล้มนางภายในครั้งเดียวมิมีทางเป็นไปได้หรอก”
ในเวลานี้อันหลิงเกอได้หยุดเขียนตัวอักษรเพราะหิมะปลิวตกที่กระดาษคัดลายมือของนางทำให้อักษรที่นางเขียนเลอะเลือนมิเป็นคำ
“เอ๋ อักษรที่งดงามถึงเพียงนี้ต้องมาพังเสียได้ ! ”
ปี้จูตกใจ รีบหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูแต่อันหลิงเกอหยุดมือนางไว้ก่อน
“มิต้อง”
อันหลิงเกอส่ายหน้าให้ปี้จู เมื่อเหลือบมองด้านล่างก็เห็นอักษรเลอะตัวนั้น แต่แล้วทันใดนั้นเองก็มีความคิดบางอย่างจากภาพที่เห็นปรากฏขึ้นมา
“แม้วันนี้ท่านพ่อเข้าข้างหลี่อี๋เหนียง แต่เรื่องนี้จักทำให้ท่านพ่อเริ่มสงสัยในตัวนางเช่นกัน ก็เหมือนตัวอักษรนี้ที่มิว่าหลี่อี๋เหนียงขยันหาแผนการที่ดีเยี่ยงไร นางก็มิมีวันทำให้มันสะอาดหมดจดได้หรอก”
ทันใดนั้นดวงตาปี้จูก็เป็นประกาย หรือจักบอกว่าท่านโหวก็รู้สึกผิดหวังในตัวหลี่ซื่อ เพียงแต่วันนี้เห็นแก่ความรู้สึกที่มีให้กันในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจึงเลือกเข้าข้างนาง หากวันใดนางทำผิดอีก ท่านโหวก็อาจผิดหวังในตัวนางจนหมดใจ และเมื่อถึงเวลานั้นหลี่ซื่อก็ไร้ที่พึ่ง
หมิงซินกลับมิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ นางหยิบเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งออกมาจากตู้ของอันหลิงเกอ “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวจัดการประตูจวนฝั่งนั้นเรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราเปลี่ยนชุดแล้วออกไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
นี่เป็นสิ่งที่พวกนางปรึกษากันเมื่อวานว่าอันหลิงเกอจักหาโอกาสออกจากจวนเพื่อเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจ และใช้โอกาสนี้ออกไปดูฉู่หยูว่ากักตุนยาสมุนไพรไปถึงไหนแล้ว
อันหลิงเกอพยักหน้าแล้วออกคำสั่งกับปี้จูตามปกติ “ถ้ามีคนมา เจ้าก็บอกว่าข้าออกไปซื้อเครื่องประดับ”
ปี้จูที่ได้ฟังก็มุ่ยปากทันที “คุณหนูเจ้าคะ ท่านพาหมิงซินออกไปด้วยทุกครั้ง เมื่อไรจักพาบ่าวออกไปบ้างเจ้าคะ ? ”
หมิงซินเหลือบมองนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มติดตลก “ข้าว่าเจ้ามิได้อยากไปกับคุณหนูหรอก แต่เจ้าอยากออกไปหาอันใดทานเสียมากกว่า เจ้าวางใจได้เพราะผลไม้เคลือบน้ำตาลกับขนมแป้งทอดที่เจ้าชอบทาน ข้าจักซื้อกลับมาให้เอง”
เมื่อความลับถูกเปิดเผย ปี้จูก็มิได้เขินอาย นางยิ้มตอบรับด้วยความดีใจ “รบกวนเจ้าแล้ว”
อันหลิงเกอส่ายหน้าพร้อมยิ้มออกมา หลังจัดการของที่อยู่ในมือเสร็จ นางก็พาหมิงซินออกจากจวน
เพราะทั้งสองคนปลอมตัวเป็นบุรุษจึงเป็นธรรมดาที่มิได้นั่งรถม้าของจวน ด้วยเหตุนี้จึงเดินเท้าไปตามถนนแล้วเลือกเข้าร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งให้พอเป็นพิธี
“คุณชายทั้งสองต้องการสิ่งใดขอรับ? ร้านของข้ามีเครื่องประดับทอง เงินและหยกดีที่สุด ด้านลวดลายและคุณภาพล้วนเป็นของมิตกยุค หากนำไปเป็นของขวัญให้ผู้อื่นก็เหมาะยิ่งนักขอรับ”
ในยามที่เจ้าของร้านกล่าว ดวงตาของเขาก็จดจ้องไปที่อันหลิงเกอ
เห็นได้ชัดว่าเป็นคุณชายสูงศักดิ์พาบ่าวมาเดินเล่น ขอเพียงเขาเอาใจคุณชายได้ก็ต้องขายของออกแน่นอน
อันหลิงเกอคลี่ยิ้มพลางมองเครื่องประดับตรงหน้า พลิกเลือกลวดลายที่ดูดีสองสามชิ้น ส่วนหมิงซินก็อยู่ข้าง ๆ และกำลังหยิบเงินออกมาจ่าย แต่แล้วทันใดนั้นก็มีบุรุษผู้หนึ่งมาชนนางทำให้เงินในมือหล่นลงพื้น
“ขออภัย ขออภัยด้วยขอรับ”
บุรุษผู้นั้นมีอายุประมาณยี่สิบกว่าปี รูปร่างสูงโปร่งผอมบาง เขาสวมใส่เสื้อผ้าสีเทา น้ำเสียงแปลกพอสมควร แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่ามิใช่คนในพื้นที่
อันหลิงเกอหันไปมองเขาตามสัญชาตญาณ แต่บุรุษคนนั้นรีบก้มหน้าลงแล้วแสร้งทำท่าทางสำนึกผิด “เมื่อครู่มิเห็นว่าน้องชายอยู่ตรงนี้จึงชนเข้าแล้ว”
หมิงซินโบกมือ “มิเป็นไร”
นางหยิบเงินจากพื้นขึ้นมา ทว่านางกลับเห็นรองเท้าของผู้ชายคนนั้นเปื้อนไปด้วยสีแดงเข้ม ถ้ามิได้เป็นเพราะนางก้มเก็บของก็คงมิมีทางสังเกตเห็น
แต่นางมิได้เก็บมาใส่ใจ เมื่อรอให้บุรุษผู้นั้นเดินออกไป นางก็จ่ายเงินเสร็จและหันไปคุยกับอันหลิงเกอ “คุณชายขอรับ ตอนนี้พวกเราจักไปหาฉู่หยูเลยหรือไม่ ? ”
ตั้งแต่เรื่องที่อันหลิงเกอกักตุนยาสมุนไพรโดนองค์ชายเจ็ดจับได้ อันหลิงเกอก็ออกคำสั่งให้ฉู่หยูระวังการเคลื่อนไหวยิ่งกว่าเดิมเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นตรวจพบ ตั้งแต่ตอนนั้นอันหลิงเกอก็มิได้ติดต่อกับพวกฉู่หยูอีกเลย
อันหลิงเกอพยักหน้าแล้วเดินออกจากร้านเครื่องประดับ แต่ขณะที่พวกนางเดินอยู่บนถนนก็มีของบางอย่างตกมาจากร้านอาหารด้านข้างและมันก็บังเอิญกลิ้งมาที่ข้างเท้าของอันหลิงเกอพอดี
ดวงตาของอันหลิงเกอจับจ้องไปที่ของเล็ก ๆ นั้น พอหยิบขึ้นมาวางบนมือ นางก็มองขึ้นไปด้านบนและแล้วก็ได้พบเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาอย่างที่คาดคิดไว้
มู่จวินฮานสิ่งยิ้มทรงเสน่ห์ให้นาง นิ้วมือชี้ไปที่ห้องอาหารส่วนตัว ทางฝั่งอันหลิงเกอก็เข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อ
หลังจากนั้นนางก็พาหมิงซินเดินเข้าไปในร้านอาหารแล้วให้เสี่ยวเอ้อพาพวกนางขึ้นไปยังห้องอาหารส่วนตัวของมู่จวินฮานบนชั้นสอง
“ท่านมู่ซื่อจื่ออารมณ์ดีหรือเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอเหลือบมองอาหารหลากหลายบนโต๊ะ สีสันและกลิ่นอันหอมหวนชวนให้ผู้คนรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที
มู่จวินฮานเพียงคลี่ยิ้มแล้วชวนอันหลิงเกอมานั่งที่ฝั่งตรงข้ามกับตน “คุณหนูใหญ่อันยังมิได้ทานข้าวมาใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็มาทานข้าวกับข้าก่อนเถิด”
หมิงซินจ้องเขาอย่างดุร้าย ก็แค่ซื่อจื่อจวนอ๋องมู่มิใช่หรือ มีสิทธิอันใดมาถอนหมั้นกับคุณหนูของนาง ทำให้คุณหนูต้องโดนอันหลิงอีเยาะเย้ย ในเวลานี้ยังแสร้งทำเหมือนมิมีอันใดเกิดขึ้น ทั้งยังชวนคุณหนูของนางทานข้าวด้วยเสียอย่างนั้น แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามีเจตนาร้าย !
แววตาของหมิงซินแสดงออกชัดเจนเกินไป แม้มู่จวินฮานมิอยากสนใจก็คงเป็นเรื่องยาก
เขาเงยหน้า ดวงตาเฉียบคมแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม เพียงมองปราดเดียวก็ทำให้หมิงซินตัวแข็งอยู่กับที่ ราวกับทั้งตัวถูกน้ำแข็งผนึกได้ จักขยับก็ขยับมิได้
“นางเป็นสาวใช้ของข้า”
อันหลิงเกอกล่าวขึ้นมา ความหมายก็คือหมิงซินเป็นคนที่เชื่อใจได้ ให้มู่จวินฮานเลิกทำให้อีกฝ่ายตกใจได้แล้ว
มู่จวินฮานจึงเก็บสายตา ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มของคนพาลแล้วคีบอาหารใส่ถ้วยของอันหลิงเกออย่างเอาใจ
หนุ่มสาวที่ยังไร้พันธะทั้งสองฝ่ายจักมาทำเรื่องเยี่ยงนี้มิได้ !
ดวงตาหมิงซินเบิกกว้าง รู้สึกเพียงว่ามู่จวินฮานกำลังเอาเปรียบอันหลิงเกอ แต่คำที่จักแนะนำคุณหนูกลับติดอยู่ที่ลำคอ แม้แต่คำเดียวยังกล่าวออกมามิได้ จึงได้แต่มองอันหลิงเกอทานอาหารอย่างเงียบ ๆ
คุณหนูของนาง !
หมิงซินรู้สึกเหมือนตรงหน้ามืดบอด แต่อันหลิงเกอทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ ใบหน้ามิแปลกไปแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็หันมาออกคำสั่งว่า “ข้ากับท่านมู่ซื่อจื่อมีเรื่องต้องปรึกษากัน เจ้าออกไปก่อนเถิด”