พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 179 วางอุบาย
ตอนที่ 179 วางอุบาย
ตั้งแต่อันหลิงเกอกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ได้เห็นใบหน้าแท้จริงของหลี่ซื่อและอันหลิงอี ทำให้แผนการร้ายของพวกนางล้มเหลวมิเป็นท่าครั้งแล้วครั้งเล่า อันหลิงอีจึงมิเก็บซ่อนใบหน้าที่แท้จริงเมื่ออยู่ต่อหน้าอันหลิงเกออีกต่อไป นางแสดงความเกลียดชังให้อีกฝ่ายเห็นอย่างชัดเจน
ในเวลานี้นางมาเยือนเรือนอันหลิงเกอก่อนและยังดูเป็นห่วงเป็นใยเรื่องของขวัญที่อันหลิงเกอจักนำไปมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงเพียงนี้ นางต้องมีเจตนาบางอย่างแน่นอน
อันหลิงเกอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเหมือนยิ้มแต่ดวงตาเงียบสงบราวกับน้ำใต้บ่อ ในเวลาเดียวกันก็ดูเยือกเย็นมิมีความอบอุ่นแม้แต่น้อย
แววตานางดูคลุมเครือ ขนตางอนยาวเหมือนขนอีกาเคลื่อนลงมาปิดบังอารมณ์ “วันเกิดของท่านย่าเป็นเรื่องใหญ่ของจวน ดังนั้นข้าจึงสั่งให้คนเตรียมของขวัญตั้งนานแล้ว แต่ก็หาของที่เหมาะสมมิได้เสียที หรือน้องหญิงสามมีความคิดดี ๆ อันใด ? ”
ใบหน้าที่ปกปิดด้วยเครื่องประทินโฉมของอันหลิงอีเผยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เสียงอุทานที่ดูตั้งใจดังขึ้นเบาๆ จากนั้นก็กล่าวว่า “ใกล้ถึงวันเกิดท่านย่าแล้ว พี่หญิงใหญ่ยังมิได้เตรียมแม้กระทั่งของขวัญหรือเจ้าคะ ? ”
หลังจากนั้นนางก็ยกมุมปากขึ้น ดวงตาฉายแววดูหมิ่น “เมื่อก่อนเห็นท่านใส่ใจท่านย่ายิ่งนัก แต่เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ท่านมิเก็บมาใส่ใจ ข้ามองท่านผิดไปจริง ๆ ”
“เรื่องที่เจ้ามองผิดยังมีอีกมาก” ทันใดนั้นการถากถางของอันหลิงอีก็โดนอันหลิงเกอโจมตีกลับอย่างมิเบาหรือแรงเกินไป คำนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าอันหลิงอีแข็งทื่อ สีหน้าดูแย่กว่าคนเผลอทานแมลงเข้าไป
นางเผยแววตาโกรธออกมาเล็กน้อย คำที่กล่าวออกมาก็ฟังออกแนวต่อว่าพอสมควร “พี่หญิงใหญ่ก็กล่าวเกินไป ข้าเพียงแค่พูดไปตามสถานการณ์ ท่านมิเห็นต้องตำหนิข้าถึงเพียงนี้”
อันหลิงเกอเลิกคิ้ว แววตาเจือด้วยความสงสัยเล็กน้อย “น้องหญิงสามอายุยังน้อย ผ่านโลกก็มิมาก ดังนั้นย่อมตีความเรื่องต่าง ๆ ที่เห็นได้มิกระจ่างเท่าผู้อื่น หรือที่ข้ากล่าวมีอันใดมิถูกต้อง ? ”
อันหลิงเกอสมควรตาย !
กับดักในคำกล่าวของอันหลิงอีถูกอันหลิงเกอเลี่ยงได้อีกครั้ง อีกทั้งกล้าพูดว่านางผ่านโลกมาน้อย สุดท้ายก็มิได้กล่าวเรื่องพวกนี้ออกมาเพราะอาศัยฐานะบุตรีภรรยาเอกหรืออย่างไร ?
อันหลิงอีกำมือแน่น อดกลั้นโทสะในใจเอาไว้แล้วแสร้งปั้นหน้าทำเป็นเข้าใจในฉับพลัน “ที่แท้ข้าเข้าใจพี่หญิงผิดไปเอง แต่ท่านยังเตรียมของขวัญให้ท่านย่ามิเรียบร้อยจริงหรือเจ้าคะ ? ”
“สั่งให้คนเตรียมแล้ว แต่ข้าดูของหลายอย่างก็ยังมิถูกใจเสียที” อันหลิงเกอมิมีทางกล่าวในสิ่งที่อันหลิงอีต้องการได้ยิน ช่วงเวลานี้ห่างจากวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่ามิกี่วัน หากนางพยักหน้าบอกว่าใช่ ผ่านไปมิถึงพรุ่งนี้เรื่องที่นางมิได้เตรียมของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่าคงแพร่กระจายไปทั้งจวนแล้ว
เมื่อถึงเวลานั้นยังมิมองว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดเยี่ยงไรกับนาง เพียงแค่อาศัยสาวใช้ในจวนที่มากถึงเพียงนี้ก็ด่านางว่าอกตัญญูจนทำให้นางทุกข์ทนเกินพอ
เนื่องจากอันหลิงเกอมีนิสัยระวังตัว กับดักเล็ก ๆ จึงมิสามารถเล่นงานได้ อันหลิงอีจึงมีโทสะ
เดิมทีนางก็มีนิสัยเจ้าอารมณ์อยู่แล้ว จักเอาอันใดมาเทียบกับคนที่มีความหนักแน่น
และควบคุมอารมณ์ได้เยี่ยงอันหลิงเกอ ?
สุดท้ายหลันซินที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็กระแอมไอขึ้นมาเบา ๆ อันหลิงอีจึงนึกถึงเป้าหมายในวันนี้ออก นางเหลือบมองหลันซินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วแสร้งกล่าวขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจ “มิทราบว่าสาวใช้ผู้นี้ทำอันใดผิด พี่หญิงจึงให้นางคุกเข่านานถึงเพียงนี้เจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอหันไปมองตามอันหลิงอี จากนั้นก็แสร้งทำเป็นเข้าใจขึ้นมา “อ่อ สาวใช้ผู้นี้นำชุดที่ร้านเฉิงอีฝางส่งมาให้ข้าไปขาย จากนั้นก็เอาเสื้อผ้าคุณภาพต่ำมาแทน แต่โดนข้าจับได้ ข้ากำลังต่อว่านางอยู่ เดิมทีจักลงโทษด้วยการหักเบี้ยหวัด 3 เดือนแล้วไล่ออก แต่น้องหญิงสามเข้ามาเสียก่อน ข้าจึงหลงลืมนางไปเสียสนิท”
ดังนั้นการที่หลันซินคุกเข่าอยู่บนพื้นเป็นเวลานานเพียงนี้จึงเป็นความผิดของนางหรือ ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใบหน้าขาวผ่องของอันหลิงอีก็เปื้อนสีแดงระเรื่อด้วยความโมโห ขณะกำลังต่อว่าอันหลิงเกอกลับหาคำพูดมิได้
นางจึงได้แต่สูดหายใจเข้าลึกและพยายามทำให้ใบหน้าเป็นปกติที่สุด “สาวใช้ผู้นี้ทำความผิดมิเบาเลยเจ้าค่ะ พี่หญิงลงโทษนางเบาถึงเพียงนี้ มิกลัวบ่าวในเรือนเอาเป็นเยี่ยงอย่างหรือเจ้าคะ ? ”
“นางทำผิดก็จริงแต่นางทำเพราะแม่ป่วย สุดท้ายก็เป็นความผิดที่ให้อภัยได้ เพียงหักเบี้ยหวัด 3 เดือนก็พอแล้ว แม้มิเป็นการลงโทษรุนแรงอันใด แต่ก็มิทำให้ผู้อื่นคิดว่าข้าใจดีเกินไปจนแม้แต่สาวใช้ในเรือนทำผิดก็มิลงโทษ”
อันหลิงเกอคลี่ยิ้ม เดามิออกเลยว่าคิดอันใดอยู่
ในขณะที่หลันซินกำลังคำนับเพื่อขอบคุณก็ได้ยินอันหลิงเกอกล่าวต่อ “แต่ข้าจักส่งคนไปสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อน หากมารดาของนางป่วยจริง ข้าก็จักมิเอาความ แต่ถ้ามิได้ป่วย…”
อันหลิงเกอมิได้กล่าวออกมาจนหมด เพียงประโยคครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ทำให้หลันซินสั่นสะท้านและรีบแสดงความภักดีออกมาทันที “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ แม่ของบ่าวป่วยหนักจริงๆ ตอนนี้ยังนอนติดเตียงอยู่เลยเจ้าค่ะ”
“นางป่วยหนักถึงเพียงนี้ ข้าจักให้เจ้าหยุดงานสักสองสามวันแล้วกลับไปดูแลแม่ให้ดี รอให้นางหายดีก่อน แล้วเจ้าค่อยกลับมารับใช้ที่เรือน” ดวงตาที่ดูคาดเดายากของอันหลิงเกอจ้องมองหลันซิน แววตาเฉียบคมราวกับอ่านใจคนได้
หลันซินตกใจทันทีและหลบสายตาอันหลิงเกอโดยมิทันรู้ตัว ใจที่เต้นแรงเริ่มสงบในที่สุด “คุณหนูใหญ่ลงโทษหักเงินบ่าวแค่ 3 เดือนก็ถือว่าเมตตามากแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจักกล้าหยุดงานได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
อันหลิงอีก็เปิดปากบ้าง แต่คำพูดมิช่วยขอร้องแทนหลันซินแม้แต่น้อย “ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจผิดว่าสาวใช้ผู้นี้ทำอันใดจนพี่หญิงมิพอใจถึงให้นางคุกเข่าตรงนี้ ที่แท้นางก็เอาเสื้อผ้าของพี่หญิงไปขาย ! สาวใช้ทำผิดร้ายแรงถึงเพียงนี้สมควรโดนลงโทษสถานหนัก เหตุใดท่านยังคิดแทนนางอีกเจ้าคะ ? ”
ละครของนางสองคนทำให้อันหลิงเกอเกิดความสงสัย
เห็นได้ชัดว่าหลันซินถูกซื้อตัวไปแล้ว นางเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนเป็นวัสดุชั้นต่ำโดยการยุยุงของอันหลิงอี
เหตุใดอันหลิงอีต้องทำเยี่ยงนี้อีก ?
ก่อนหน้านี้ทำเหมือนมิอยากให้นางลงโทษหลันซินและยังตำหนิว่านางรุนแรงกับสาวใช้ แต่พอนางบอกให้หลันซินกลับบ้านไปดูแลมารดาที่ป่วย ท่าทีของอันหลิงอีก็เปลี่ยนไปเสียเยี่ยงนั้น
เกิดความสงสัยขึ้นในใจอันหลิงเกอ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอันหลิงอี ใบหน้าของนางก็มิได้แสดงความสงสัยออกมาแม้แต่น้อย พร้อมกันนั้นริมฝีปากแดงระเรื่อก็ยกยิ้มและเผยแววตาแฝงความคิด “ตามความคิดน้องหญิงสามควรลงโทษสาวใช้ผู้นี้เยี่ยงไร ? ”
มิรู้ว่าเป้าหมายของอันหลิงอีคืออันใด แต่นางเสนอโอกาสให้อันหลิงอีถึงที่แล้วก็ต้องโผล่หางออกมาบ้าง
อันหลิงอีย่อมมิรู้ความคิดในใจอีกฝ่ายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินอันหลิงเกอขอความคิดเห็นจากตน แววตาก็เปล่งประกายอย่างรวดเร็วและหายไปในชั่วพริบตาเช่นกัน