พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 199 เข้าวังกราบทูล
ตอนที่ 199 เข้าวังกราบทูล
อันหลิงเกอยกยิ้มขึ้นมา โฉมหน้าที่งดงามมีเสน่ห์ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเห็นบุปผาเบ่งบานตรงหน้านับพันนับหมื่นดอก ทำให้อันอิงเฉิงรู้สึกถึงเงาของใครอีกคนเริ่มปรากฏขึ้นตรงหน้า คนผู้นั้นก็เดินอยู่ในทุ่งดอกไม้เช่นกัน นางยิ้มให้เขา เพียงแต่ต่อมานางก็หายไปท่ามกลางดอกไม้เหล่านั้น
อันอิงเฉิงดึงสติกลับมา แอบถอนหายใจเล็กน้อย เกอเอ๋อช่างคล้ายมารดาของนางเหลือเกิน
“ท่านพ่อเจ้าคะ เรื่องเหล่านี้เป็นท่านมู่ซื่อจื่อบอกให้ลูกทราบเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยกยิ้มมุมปาก แววตาประดับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นกลับสู่ท่าทางของหญิงสาวที่สง่างามแต่แข็งแกร่งเฉกเช่นยามปกติ “มู่ซื่อจื่อเคยเข้าวังบ่อยครั้งจึงรู้จักนิสัยของฮ่องเต้อยู่บ้างเจ้าคะ”
มู่จวินฮานเป็นพระนัดดาของฮ่องเต้ ทั้งยังเป็นที่รักใคร่ขององค์ไทเฮา การที่เขาทราบเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องปกติ
อันอิงเฉิงพยักหน้าแต่ก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ดี “เหตุใดมู่ซื่อจื่อจึงกล่าวเรื่องนี้กับเจ้า ? ”
เรื่องของบ้านเมือง ผู้ใดจักนำมาเล่าให้สตรีฟัง ?
ยิ่งไปกว่านั้นเขาและอันหลิงเกอเพียงถูกกำหนดเรื่องการสมรส แต่ยังมิได้แต่งงานกัน ท้ายสุดการสมรสถูกยกเลิกไป แล้วมู่จวินฮานจักบอกสิ่งเหล่านี้กับนางด้วยเหตุใด
อันหลงเกอนำมู่จวินฮานออกมาเป็นเกราะป้องกันตัวอย่างมิรู้สึกผิด “ครั้งนั้นลูกกับท่านมู่ซื่อจื่อขัดแย้งกัน ตอนนั้นเขาโมโหมากจึงพลั้งปากพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงเหล่าขุนนางชั้นสูงและชีวิตในวันข้างหน้าของลูกคงมิง่ายดายนัก เห็นเขากล่าวอย่างจริงจังเช่นนั้น ลูกจึงจดจำเอาไว้เจ้าค่ะ”
ในสายตาของผู้อื่นการแต่งงานของนางกับมู่จวินฮานจบลงเพราะทั้งสองมีนิสัยแตกต่างกัน มู่จวินฮานจึงเป็นฝ่ายทูลขอฮ่องเต้ให้ทรงยกเลิกการหมั้นหมาย
แม้นางกล่าวเช่นนี้ แต่อันอิงเฉิงก็ยังสงสัย
จวนอ๋องมู่เป็นเครือญาติของฮ่องเต้ ทั้งยังคุมกองกำลังทหารเอาไว้ในมือนับแสนนาย ฮ่องเต้มิสามารถลงมือต่อพวกเขาโดยง่ายได้หรอก
แต่จวนโหวมิเหมือนกัน ในหลายปีนี้จวนโหวเสื่อมอำนาจลงมาก หากฮ่องเต้หาข้ออ้างถอนรากถอนโคนพวกเขาจริงก็มิต้องใช้ความพยายามมากนัก ดังนั้นเขาจึงต้องทำให้ฮ่องเต้เชื่อใจให้ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มุมปากของอันอิงเฉิงก็เหยียดตรงแล้วพยักหน้าด้วยท่าทางหนักแน่น “เรื่องนี้พ่อจักรีบกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
เขามิได้สนใจว่าอันหลิงเกอจักติดโรคระบาดหรือไม่ เพราะครั้งก่อนอันหลิงเกอก็ช่วยหวังซื่อและบุตรในครรภ์เอาไว้ได้ ดังนั้นด้วยฝีมือของนางย่อมสามารถป้องกันตนเองได้
อันหลิงเกอเดินออกไปอย่างเชื่องช้าจนมาถึงเรือนกลาง นางจึงถอนหายใจออกมายาว ๆ
ขอแค่อันอิงเฉิงยอมกราบทูลเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ราษฎรจักได้เตรียมตัวป้องกันและระมัดระวังต่ออาหารการกินมากขึ้น คิดว่าครั้งนี้คงมิมีคนตายมากนัก
ด้านอันอิงเฉิงได้เปลี่ยนชุดขุนนางและสั่งให้ทหารเตรียมรถม้าแล้วเข้าวังไปอย่างรีบร้อน
เห็นท่าทีรีบร้อนของอันอิงเฉิง บ่าวจึงมิกล้าล่าช้า คนบังคับรถม้าสะบัดแส้ในมือควบม้ามิหยุด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ได้หยุดที่หน้าประตูวัง
“คารวะท่านโหวอันขอรับ”
ทหารองครักษ์รู้จักอันอิงเฉิงจึงเดินเข้ามาคำนับอย่างเป็นทางการ
อันอิงเฉิงโบกมือ “แม่ทัพจ้าวมิต้องมากพิธี วันนี้ข้ามีเรื่องด่วนขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ไว้วันหลังค่อยเชิญท่านดื่มสุรา”
เขากล่าวจบก็เดินเข้าวัง แต่แม่ทัพจ้าวยื่นมือรั้งเขาไว้ ใบหน้าเผยท่าทีลำบากใจ “ท่านโหวอัน ตอนนี้มิใช่เวลาราชกิจและท่านมิได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ข้าจึงมิสามารถปล่อยท่านเข้าไปได้”
อันอิงเฉิงตกตะลึง เขารีบร้อนจนลืมเวลาประตูวังปิด ดังนั้นจึงดึงราชโองการออกมาจากตัวหนึ่งฉบับแล้วโบกไปมาตรงหน้าแม่ทัพจ้าว “ข้าสามารถเข้าไปได้หรือยัง ? ”
“เชิญท่านโหวอันขอรับ” แม่ทัพจ้าวเห็นตัวอักษรในราชโอการก็คำนับทันที จากนั้นจึงเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้อันอิงเฉิง
เมื่อเขาหลีกทางให้ องครักษ์นายอื่นก็กล้ามิรั้งไว้อีก อันอิงเฉิงจึงเดินก้าวเท้ายาว ๆ เข้าวังไป
“โอ้ เป็นท่านโหวอันนี่เอง” อันอิงเฉิงยังมิทันเดินเข้าไปในตำหนักเฉียนชิงก็เจอเข้า
กับฝูเชวียนหัวหน้าขันทีเสียก่อน
ฝูเชวียนมีใบหน้าขาวอ้วนกำลังยิ้ม ในมือถือแส้โบกไปโบกมา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความปราดเปรื่อง “มิทราบว่าท่านโหวอันเข้าวังมาด้วยเรื่องอันใดหรือ ? ”
อันอิงเฉิงเผยรอยยิ้มเต็มหน้า เขามิกล้ามีปัญหากับคนข้างกายของฮ่องเต้เด็ดขาด “ข้ามีเรื่องด่วนต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ รบกวนกงกงทูลรายงานให้ฮ่องเต้ทรงทราบด้วย”
“ข้าน้อยจักเข้าไปรายงานประเดี๋ยวนี้ ท่านโหวได้โปรดรอสักครู่ ” ฝูเชวียนตอบรับแล้วหันกายเดินไปทางตำหนักเฉียนชิง
เดิมทีอันอิงเฉิงอยากตามไปด้วย แต่นึกถึงคำกล่าวของฝูเชวียนจึงรออยู่ที่เดิมดีกว่า
โชคดีที่ตอนนี้ฮ่องเต้กำลังว่างพอดีจึงรับสั่งให้ฝูเชวียนพาอันอิงเฉิงเข้ามาในตำหนักเฉียนชิง
“ท่านมีเรื่องใดจึงอยากพบข้า ? กระทั่งราชโองการที่ท่านโหวคนก่อนทิ้งไว้ยังเอาออกมาใช้ได้” ฮ่องเต้ตรัสด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนให้ความใกล้ชิดกับอันอิงเฉิงมากขึ้น
ส่วนอันอิงเฉิงได้เพียงฉีกยิ้มแห้ง หากเขามินำราชโองการของบิดาออกมา ก็เกรงว่าในวันนี้แม้แต่เดินเข้าวังหลวงยังทำมิได้เลย
มิอย่างนั้น ไหนเลยจักได้มาอยู่ตรงหน้าพระพักตร์เยี่ยงนี้ อันอิงเฉิงมิเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เขาเพียงทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมพบว่ามีคนติดโรคระบาดในเมืองจิงจึงรีบมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
โรคระบาดหรือ ?
เมื่อได้ฟัง รอยยิ้มของฮ่องเต้ก็จางลงทันที ทรงทอดพระเนตรอันอิงเฉิงแล้วตรัสด้วยสุรเสียงที่จับอารมณ์อันใดมิออก “เรื่องใหญ่เช่นนี้ท่านอย่าได้นำมาล้อเล่น”
“กระหม่อมจักกล้านำเรื่องใหญ่เช่นนี้มาล้อเล่นได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ” แววตาของอันอิงเฉิงมีความกังวลเล็กน้อย “ทูลฝ่าบาท สาวใช้ในเรือนของบุตรสาวกระหม่อมเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน อีกทั้งหมอในจวนได้ไปตรวจดูแล้ว บอกว่านางเป็นโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถึงได้…”
ดวงเนตรของฮ่องเต้เคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม มิได้มีความเป็นมิตรเฉกเช่นปกติ ยามนี้จึงมองเห็นอำนาจและบารมีที่แท้จริงของพระองค์ บารมีนี้กดดันจนคนมิกล้าสบตา “แค่สาวใช้ตายไปคนหนึ่ง ท่านก็รีบมาบอกข้าว่าเมืองจิงเกิดโรคระบาดแล้ว โหวอัน เมื่อไรกันที่ท่านชอบพูดให้ผู้อื่นตกใจ กลายเป็นคนที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เยี่ยงนี้ ? ”
เห็นได้ชัดว่าพระองค์มิค่อยพอพระทัยขึ้นมาแล้ว อันอิงเฉิงเมื่อเผชิญหน้ากับความโกรธของฮ่องเต้จึงรู้สึกตื่นเต้นจนฝ่ามือชื้นเหงื่อ แต่เขาตัดสินใจนำเรื่องนี้มารายงานให้ฮ่องเต้ทรงทราบก็เพื่อให้พระองค์รู้ถึงความจงรักภักดี เวลานี้จึงต้องยืนกรานอย่างหนักแน่น
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิได้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เพียงแต่โรคระบาดแพร่ได้เร็วมาก กระหม่อมเกรงว่าหากมารายงานมิทันจักทำให้เกิดภัยพิบัติ พระองค์ก็ทรงรู้ว่า*เขื่อนยาวนับพันลี้ทลายเพราะรังมดรังเดียวได้ ตอนนี้มีสาวใช้ติดโรคระบาดไปคนเดียว แต่หากมิป้องกันโรคระบาดก็จักแพร่ได้อย่างรวดเร็ว พอถึงตอนนั้นเกรงว่าผลที่ตามมาจักร้ายแรงมากพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ตามที่ท่านกล่าวมาคือข้าควรส่งคนไปจับกุมคนของจวนโหวทั้งหมดเพื่อมิให้ราษฎรเมืองจิงได้รับผลกระทบใช่หรือไม่ ? ” ฮ่องเต้ตรัสพร้อมหัวเราะออกมาด้วยสุรเสียงเย็นยะเยือก มองมิเห็นความเป็นมิตรอีกต่อไป “หากเป็นเช่นนี้ ข้าจักออกราชโองการเสียตอนนี้เพื่อมิให้ท่านกังวลว่าโรคระบาดจักแพร่และส่งผลกระทบต่อราษฎร”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยความกริ้ว สุรเสียงนั้นเต็มไปด้วยโทสะ ขณะที่ยืนขึ้นก็ทำท่าจักออกคำสั่ง
โรคระบาดในครั้งก่อน อดีตฮ่องเต้สำนึกผิดถึงได้หยุดยั้งความโกรธของราษฎรได้ แต่วันนี้อันอิงเฉิงวิ่งมารายงานตรงหน้าว่าโรคระบาดกำลังแพร่ระบาดในเมืองจิง นี่มิใช่กำลังบอกว่าเพราะพระองค์มีจิตใจไร้ศีลธรรมจึงชักนำหายนะมาหรอกหรือ ?
ชีวิตของอันอิงเฉิงคงสงบราบเรียบเกินไปแล้ว !
…
*เขื่อนยาวนับพันลี้ทลายเพราะรังมดรังเดียว หมายความว่าไม่ตระหนักถึงสิ่งที่เล็กว่าสำคัญเพียงใด