พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 209 แยกทาง
ตอนที่ 209 แยกทาง
หญิงสาวตรงหน้าดูอ่อนโยนและสงบนิ่ง เพียงแต่ในแววตาของนางมีความเศร้าหมองที่มิอาจลบออกไปได้ มู่จวินฮานมองแล้วรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เป็นความรู้สึกราวกับความเศร้าของนางทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจจนทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
“มิต้องกล่าวถึงว่าจักเกิดโรคระบาดหรือไม่ ต่อให้เกิดโรคระบาดขึ้นมาจริงก็ยังมีฮ่องเต้คอยรับมือและมีเหล่าทหารคอยดูแลอยู่ เหตุใดเจ้าต้องทำจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เพียงเพราะเรื่องที่ยังมิแน่ว่าจักเกิดด้วยเล่า ? ”
ริมฝีปากมู่จวินฮานเหยียดตรง มือที่กุมไหล่อันหลิงเกอไว้ค่อย ๆ บีบแน่น
อันหลิงเกอรู้สึกเจ็บจนขมวดคิ้ว เขาจึงได้สติและรีบคลายมือออก
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของข้าเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอหลุบตาลง แพขนตายาวบดบังแววตาเอาไว้
มู่จวินฮานฟังน้ำเสียงที่จริงจังและทุ้มต่ำของนางออก
“ข้ามิสามารถอธิบายให้ท่านฟังได้ แต่โรคระบาดจักเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และข้าจักพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อช่วยราษฎรให้ได้มากที่สุด”
เดิมทีนางเป็นคนที่ตายไปแล้ว ด้วยความปรานีของสวรรค์จึงได้โอกาสฟื้นขึ้นมา หากการฟื้นของนางสามารถช่วยเหลือผู้ที่ติดโรคระบาดในชาตินี้เอาไว้ได้ ก็ยืนยันได้ว่าชะตาชีวิตของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การอยู่หรือตายของคนก็สามารถเปลี่ยนได้เช่นกันมิใช่หรือ ?
นางจักมิยอมตายด้วยน้ำมือของหลี่ซื่อและอันหลิงอีเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด !
นัยน์ตาสีดำดูลึกล้ำราวกับคลื่นทะเลรุนแรง เหมือนหลุมลึกไร้ขอบเขตกำลังกลืนทุกอย่างบนโลก นางเพียงก้มหน้าลงมู่จวินฮานก็มองมิเห็นความโกรธแค้นในดวงตาของนางแล้ว
“เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง” ริมฝีปากมู่จวินฮานยกยิ้ม แววตาของเขาดูมีอารมณ์ขัน “แต่เจ้าทำให้ตนเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะเรื่องที่ไร้หลักฐาน นอกจากนั้นเจ้ายังมิได้คิดวิธีออกไปจากคุกนี้เพราะเอาแต่นึกถึงเรื่องโรคระบาด”
พอเขาได้รับรายงานว่าอันหลิงเกอโดนจับเข้าคุกก็รีบมาที่นี่โดยมิสนใจว่าต้องไปเข้าเฝ้าไทเฮาก่อน เขากลัวว่าอันหลิงเกอจักได้รับความลำบาก แต่ท้ายที่สุดนางมิสนใจความปลอดภัยของตนแม้แต่น้อย !
ช่างเป็นสตรีที่โง่เขลาเสียจริง !
ในเวลานี้มู่จวินฮานรู้สึกโกรธมาก อันหลิงเกอที่ได้ฟังคำของเขาก็ทำให้แววตาของนางเย็นชาขึ้น หลังจากนั้นนางก็ถอยหลังออกห่างจากเขาสองก้าว ทำให้มือของมู่จวินฮานที่เดิมทีจับไหล่ของนางอยู่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า
“ข้าเป็นคนเยี่ยงนี้มาโดยตลอด ท่านมู่ซื่อจื่อน่าจักรู้ตั้งนานแล้ว อย่างไรก็ตามการแต่งงานของเราได้ยกเลิกไปแล้ว หากท่านมู่ซื่อจื่อเพิ่งมาทราบตอนนี้ก็มินับว่าสายไปหรอกเจ้าค่ะ”
ในเวลานี้ราวกับว่าทั้งกายของนางเต็มไปด้วยหนามแหลมคม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่างเหิน
มู่จวินฮานหัวเราะออกมา “ถูกต้องแล้ว การสมรสของเราถูกยกเลิกไปแล้ว ตอนนี้เราสองคนมิมีความสัมพันธ์อันใดต่อกันอีก ข้าเพียงยึดติดอยู่กับความหลงใหลจึงได้มาหาเจ้าอย่างกระวนกระวายและคิดหาวิธีช่วยเจ้าออกไปโดยเร็วที่สุด ! ”
ตอนนั้นเพียงเพราะอยากกำจัดความสงสัยของฮ่องเต้จึงแกล้งยกเลิกการหมั้นหมาย ทว่าตอนนี้อันหลิงเกอเอาเรื่องนี้มาตัดความสัมพันธ์กับเขา
มู่จวินฮานเพียงรู้สึกปวดร้าวในหัวใจขึ้นมา รู้สึกจุกที่อกจนหายใจมิออกและดวงตาของเขาเริ่มแดงก่ำ
ส่วนอันหลิงเกอมิได้แสดงความหวั่นไหวอันใดออกมาเลย ใบหน้างดงามราวกับมีน้ำแข็งเคลือบอยู่อีกชั้นหนึ่ง “เช่นนั้นข้าก็มิรบกวนให้ท่านมู่ซื่อจื่อเหนื่อยใจกับเรื่องของข้าแล้ว ทว่าท่านผิดสัญญาโดยกลับมาจากม่อเป่ยก่อนกำหนด ข้าคิดว่าฮ่องเต้มิปล่อยท่านไปโดยง่าย ท่านควรคิดแผนรับมือเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่า”
นางกล่าวจบก็หันหน้าหนีมิยอมมองมู่จวินฮาน อีกฝ่ายจึงส่งเสียง หึ ! ออกมาทีหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็จับไหล่ของนางเอาไว้ มืออีกข้างเชยคางนางขึ้นมาแล้วกดริมฝีปากของตนไปบนริมฝีปากของนางอย่างแรง
ในเวลานี้มู่จวินฮานราวกับบ้าไปแล้ว เขาทั้งกัดทั้งดูดริมฝีปากของนางอย่างมิรู้จักพอ ลิ้นร้อนพยายามดันเปิดฟันอันหลิงเกอขึ้น ทว่าโดนกัดเข้าอย่างแรงจึงทำให้มีโลหิตซึมออกมา
ทำให้มู่จวินฮานผละออกจากริมฝีปากของนาง เขายกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดออกจากมุมปาก ดวงตาซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ “ข้าจักช่วยเจ้าออกไปให้ได้”
หลังจากกล่าวจบก็หันหลังเดินจากไป เรือนร่างสง่าผ่าเผยแลดูโดดเดี่ยวและเศร้าหมองอยู่บ้าง
อันหลิงเกอมองร่างของเขาค่อย ๆ หายลับไปจากสายตา ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นขึ้นมา
ในเมื่อสวรรค์เมตตาให้นางได้เกิดใหม่ นางก็อยากใช้ชีวิตในชาตินี้ให้ดี ทำลายแผนของหลี่ซื่อและอันหลิงอี สืบหาความจริงเบื้องหลังการตายของมารดาและปกป้องน้องชายให้เติบโตอย่างราบรื่น แล้วนางจักมัวลุ่มหลงอยู่ในความรักระหว่างชายหญิงได้เยี่ยงไร ?
นางเป็นปิศาจที่กลับชาติมาเกิดใหม่ จักสามารถมีความรักเยี่ยงนี้ได้จริงหรือ ?
มุมปากของนางโค้งลงและในเวลาเดียวกันนั้น ความรุนแรงของโรคระบาดก็ค่อย ๆ แพร่กระจายไปในบริเวณกว้างเพียงชั่วข้ามคืน
ความรุนแรงของโรคระบาดมิต่างจากความมืดมิดยามค่ำคืน ราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่กลืนกินชีวิตไปคนแล้วคนเล่า เพียงแต่ผู้คนที่กำลังหลับใหลอยู่มิอาจรับรู้ได้เลย
ค่ำคืนดูเหมือนผ่านไปในชั่วพริบตา หมอกสีขาวปกคลุมทั่วแผ่นดินในยามเช้าตรู่ มู่จวินฮานก็มาอยู่ในท้องพระโรงแล้ว
เขาสวมชุดเป็นทางการ แขนเสื้อกว้างขับให้เห็นร่างสูงใหญ่ของเขาราวกับเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ ดูโดดเด่นเหนือผู้คนทำให้ฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์ทอดพระเนตรเห็นเขาอย่างรวดเร็ว
“มู่จวินฮาน” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเรียบ มู่จวินฮานพลันลุกขึ้น “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ายกเลิกงานสมรสของคุณหนูใหญ่อันและสมัครใจไปม่อเป่ยเพื่อนำทหารสู้ศึก ข้าเห็นว่าเจ้ามีใจรักแผ่นดินจึงมีราชโองการให้เจ้าไป แต่วันนี้เจ้ากลับทิ้งทหารไว้ที่ม่อเป่ยโดยมิสนใจแล้วหนีกลับมาเมืองจิง เจ้าคิดว่าตนควรได้รับการลงโทษเยี่ยงไร ? ”
ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงเนตรทรงอำนาจเหลือบมายังเบื้องล่าง เหล่าขุนนางและแม่ทัพที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งล้วนก้มหน้าลงมิกล้าสบสายพระเนตร
เมื่อได้ฟังมู่จวินฮานก็มีท่าทีขึงขังแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินว่าท่านโหวอันและคุณหนูใหญ่อันถูกจองจำในคุกหลวงโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง แม้ในเวลานั้นกระหม่อมมิได้ยกเลิกการสมรสกับคุณหนูใหญ่อัน ถึงอย่างไรในเวลานี้การสมรสระหว่างกระหม่อมและคุณหนูใหญ่อันก็ต้องพังลงอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
จักบอกว่าตนมิมีความผิดเลยสักนิดหรือ ?
ฮ่องเต้จ้องหน้ามู่จวินฮาน “กล่าววาจากลับกลอก ! ”
มู่จวินฮานหัวเราะออกมา ท่าทางดูเป็นคนมิเอาไหน “กระหม่อมเพียงกล่าวความจริงออกมา เรื่องนี้มิอาจโทษกระหม่อมได้พ่ะย่ะค่ะ”
“แม้เป็นเช่นนั้น แต่ข้าก็ปล่อยเจ้าไปโดยง่ายมิได้…”
“เช่นนั้นฝ่าบาททรงลงโทษกระหม่อมโดยการหักเบี้ยหวัด 3 เดือนก็มากพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฮานแสร้งเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าอมทุกข์ “หากมิมีเบี้ยหวัดแล้ว กระหม่อมจักเอาเงินที่ไหนไปดื่มสุราพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ท่าทีและการกระทำของเขาในตอนนี้ทำให้คนมองว่ารู้จักแต่เล่นสนุกไปวัน ๆ ใช้ชีวิตราวกับเศรษฐีผู้หนึ่ง เป็นเหตุให้เหล่าขุนนางและแม่ทัพที่ยืนอยู่ด้านข้างต้องแอบถอนหายใจออกมา มู่ซื่อจื่อผู้นี้ยศสูงแต่ภายนอก ท่าทางก็ดูดี ดูเฉลียวฉลาดอยู่หรอก เพียงแต่นิสัยเหลวไหลไปหน่อย มิเข้าใจว่าเหตุใดสตรีในเมืองจิงถึงได้หลงเขายิ่งนัก
มุมพระโอษฐ์ของฮ่องเต้กระตุกสองครั้ง แม้กระทั่งหนวดเคราก็ยังกระดิกขึ้นมา “ท่านอ๋องมู่ ดูบุตรชายที่ท่านเลี้ยงดูมาสิ ! ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องมู่เดินออกมาจากเหล่าขุนนางนับร้อยแล้วหยุดยืนอยู่ข้างกายมู่จวินฮาน เขาก้มคำนับฮ่องเต้ “บุตรชายดื้อรั้นเพราะกระหม่อมสั่งสอนมิดี ฝ่าบาทโปรดให้โอกาสเขาได้สร้างผลงานเพื่อไถ่โทษด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”