พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 216 เรื่องมิคาดคิด
ตอนที่ 216 เรื่องมิคาดคิด
แผนการครั้งนี้มิสำเร็จอีกแล้ว !
เมื่อเห็นรถม้าของอันอิงเฉิงและอันหลิงเกอไกลออกไป หลี่ซื่อและอันหลิงอีสบตากันและแววตาทั้งสองก็มีความผิดหวังฉายออกมา
“จดหมายจากองค์ชายเจ็ดเจ้าค่ะ” นางกำนัลของจ้าวหลานหยู่ที่มาส่งจดหมายกล่าวขึ้น หลี่ซื่อจึงโบกมือให้สาวใช้ในเรือนตนถอยออกไป ใบหน้าแลดูเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง
อันหลิงอีรู้สึกกังวล ใบหน้าเย่อหยิ่งในยามปกติแฝงความมิสบายใจเอาไว้ “ท่านพี่กล่าวว่าเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ ? ”
เมื่อวานนางตกลงกับจ้าวหลานหยู่ว่าจักฉวยโอกาสยามล่องเรือผลักอันหลิงเกอตกน้ำ จากนั้นก็ให้จ้าวหลานหยู่ไปช่วย ขอเพียงพวกเขาได้แตะเนื้อต้องตัวกันแล้ว อันหลิงเกอก็จักถือเป็นคนของจ้าวหลานหยู่ไปโดยปริยาย
จากนั้นก็รอองค์ชายเจ็ดมาสู่ขอกับอันอิงเฉิง แล้วรับอันหลิงเกอไปเป็นนางสนม เช่นนั้นชีวิตของอันหลิงเกอก็จักตกอยู่ในกำมือของพวกนางและชีวิตที่เหลือล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินของพวกนาง
แต่ผู้ใดจักคาดคิดว่าอันหลิงเกอว่ายน้ำเป็น ทั้งยังว่ายน้ำเก่งเสียด้วย อันหลิงเกอทำแผนการของพวกนางล้มเหลว ทั้งยังทำให้จ้าวหลานหยู่มิพอใจ
“องค์ชายเจ็ดให้เราหาวิธีพาอันหลิงเกอออกจากจวน ให้เขามีโอกาสใกล้ชิดนาง ส่วนเรื่องที่เหลือเขาจัดการเอง”
มิรู้ว่าจ้าวหลานหยู่คิดเยี่ยงไรจึงได้หลงใหลในตัวอันหลิงเกอขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้มิเห็นว่าจักมีใจอันใดเลย
หลี่ซื่อนึกรำคาญอยู่ในใจ แต่แสดงออกมิได้เพราะนางกำนัลขององค์ชายเจ็ดก็อยู่ด้วย นางมิอาจเสียภาพลักษณ์ของผู้ใหญ่ได้
อันหลิงอีขมวดคิ้ว “แต่คนสารเลวอันหลิงเกอไปฉู่โจวกับท่านพ่อแล้ว เช่นนั้นเราจักหลอกล่อนางออกจากจวนได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
เรื่องนี้มิง่ายเลย ในเมื่ออันหลิงเกอมิได้อยู่เมืองจิง แล้วจ้าวหลานหยู่จักเข้าใกล้ได้เยี่ยงไร ?
ส่วนหลี่ซื่อบิดผ้าเช็ดหน้าแน่น มินานดวงตาของนางก็สว่างไหวขึ้นมา “ตอนนี้อันหลิงเกอกำลังอยู่ระหว่างทางไปฉู่โจวก็ถือว่าออกจากจวนแล้วมิใช่หรือ ? เพียงเราส่งข่าวนี้ให้องค์ชายเจ็ด เรื่องที่เหลือก็ต้องดูว่าเขาจักทำเยี่ยงไรต่อไป”
แม้ว่าฉู่โจวมิได้ห่างไกลจากเมืองจิงมากนัก แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางระยะหนึ่ง หากองค์ชายเจ็ดสามารถหาวิธีลงมือระหว่างทางได้ก็จักส่งผลดียิ่งนัก
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นดวงตาของอันหลิงอีก็ฉายแววดีใจออกมา นางกุมมือสองข้างไว้ด้วยกัน “ความคิดนี้ช่างดียิ่งนักเจ้าค่ะ ลูกจักส่งคนไปเรียนท่านพี่ตอนนี้เพื่อให้เขามิพลาดโอกาสดี”
……
……
อันหลิงเกอที่ถูกผู้อื่นวางแผนเล่นงานอยู่ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนรถม้าเพื่อเดินทางไปฉู่โจว ปี้จูที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เปิดม่านหน้าต่างพร้อมชะโงกหน้าออกไป ใบหน้ากลม ๆ ของนางฉายแววดีใจ
ตั้งแต่เด็กจนโต นางยังมิเคยออกจากเมืองจิงเลย ตอนนี้จึงรู้สึกว่าทุกสิ่งแปลกตาไปหมด
อันหลิงเกอหันมองปี้จูแล้วมุมปากก็ยกยิ้มขึ้น จากนั้นจึงเก็บสายตากลับ
“คุณหนู พรุ่งนี้ก็ถึงฉู่โจวแล้วนะเจ้าคะ”
ปี้จูเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ คุณหนู ท่านว่าฉู่โจวจักเจริญกว่าเมืองจิงหรือไม่เจ้าคะ ? ”
หมิงซินรู้สึกทนมิได้จึงดึงนางกลับมานั่งที่เดิม “หากเจ้ามองออกไปข้างนอกอีก ระวังตกลงไปนะ”
“ข้าจักตกไปได้เยี่ยงไร” ปี้จูหัวเราะร่า ตอบออกไปราวกับว่าการได้ออกจากเมืองหลวงทำให้นางอารมณ์ดียิ่งนัก
อันหลิงเกอยกยิ้มแล้วเอ่ยแทรกทั้งสองคน “ฝั่งฉู่หยูเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
นางเดินทางไปฉู่โจวในครั้งนี้ย่อมมิได้ไปเพียงแค่เรื่องส่งมอบสูตรยาเท่านั้น
หมิงซินรีบกล่าวออกมา “เมื่อวานตอนที่คุณหนูให้เตรียมของออกเดินทาง บ่าวก็ได้สั่งลู่จิงหยูส่งจดหมายให้ฉู่หยูเพื่อให้นางจัดหาคนส่งยาสมุนไพรที่กักตุนไว้เหล่านั้นไปฉู่โจว เหลือไว้ที่เมืองจิงเพียงครึ่งหนึ่งก็พอ คาดว่าเมื่อเราถึงฉู่โจว พวกเขาคงส่งมาถึงแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
จักไปรักษาโรคระบาด นอกจากมีสูตรยาแล้วยังต้องมีตัวยาด้วย
อันหลิงเกอพยักหน้าอย่างวางใจแล้วก็เอ่ยว่า “แล้วเจ้าบอกให้ลู่จิงหยูไปจัดการหมู่บ้านโดยรอบเมืองจิงหรือยัง ? ”
“คุณหนูมิต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ บ่าวได้มอบสูตรยาที่คุณหนูเขียนไว้ให้ลู่จิงหยูแล้ว อีกทั้งยังสอนวิธีต้มยาให้เขาด้วย” ปี้จูหยุดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ “แต่มิรู้ว่าซูม่อคนของท่านมู่ซื่อจื่อได้ยินมาจากไหนจึงดึงดันไปที่หมู่บ้านนั้นกับลู่จิงหยูเพื่อช่วยกันรักษาเจ้าค่ะ”
การที่มู่จวินฮานติดต่อกับอันหลิงเกอ แม้ว่าปิดบังคนภายนอกเอาไว้ แต่ปี้จูและหมิงซินที่เป็นสาวใช้ข้างกายย่อมรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับคนของมู่จวินฮานจึงมิได้มีความระแวงมากถึงเพียงนั้น
“สถานการณ์ในหมู่บ้านมิได้ดีไปกว่าฉู่โจวเลย ลู่จิงหยูผู้เดียวมิไหวแน่ หากมีคนของจวนอ๋องมู่ไปช่วยย่อมสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องคนมิพอได้”
เมื่อกล่าวจบอันหลิงเกอก็ปิดตาลง ระหว่างคิ้วยังมีความกังวลแฝงอยู่
แม้ว่านางสามารถยืนอย่างมั่นคงในจวนโหวได้แล้ว ทว่าอำนาจของนางยังน้อยนัก คนที่สามารถใช้งานได้มีเพียงปี้จู หมิงซินและสาวใช้มิกี่คน พอที่จักใช้รับมือกับหลี่ซื่อและอันหลิงอีได้อยู่บ้าง แต่ถ้าอยากทำเรื่องอื่นก็ยังถือว่ามีกำลังมิพอ
สำหรับสาเหตุการตายของท่านแม่จนถึงตอนนี้ยังสืบเจอแค่แม่นมผู้หนึ่ง ซ้ำยังชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน แม้เบาะแสชี้ไปทางหลี่ซื่อ แต่ท้ายสุดนางก็หาหลักฐานมิเจอจึงล้มหลี่ซื่อมิได้เสียที
ปี้จูมิรู้ว่าคุณหนูกำลังกังวลเรื่องอันใด แต่ใบหน้าของนางยังคงยิ้มแย้มแล้วกล่าวหยอกล้อออกมา “จริงสิ ท่านมู่ซื่อจื่อส่งคนมาได้ทันเวลาจึงช่วยแก้ปัญหาที่คุณหนูกังวลพอดี หากในวันหน้าคุณหนูได้เขามาเป็นคู่ครอง บ่าวก็วางใจได้แล้วเจ้าค่ะ”
“กล่าวอันใดของเจ้า ? ”
อันหลิงเกอมองค้อน แต่ทว่าใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา
ปี้จูขยิบตาให้หมิงซินแล้วกล่าวอีกครั้ง “บ่าวเพียงหวังให้คู่ชีวิตของคุณหนูในวันข้างหน้ามีความรอบคอบและใส่ใจท่านเหมือนท่านมู่ซื่อจื่อ หมิงซินว่าใช่หรือไม่ ? ”
หมิงซินพยักหน้ารับด้วยการยิ้มทำให้อันหลิงเกอต้องแกล้งตำหนิพวกนางเบา ๆ เจ้านายและสาวใช้สนทนากันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะจึงดังขึ้นในรถม้าตลอดทาง มิช้าพวกนางก็มาถึงจุดพักม้า
อันอิงเฉิงสนทนากับเจ้าหน้าที่ดูแลจุดพักม้าสองสามคำ อีกฝ่ายจึงเตรียมที่พักให้ทันที
“วันนี้เราพักที่จุดพักม้าคืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าก็ถึงฉู่โจวแล้ว” อันอิงเฉิงให้คนไปเตรียมน้ำร้อนและหมอหลวงที่มาด้วยก็ตอบรับ
มู่จวินฮานนั่งอยู่ที่โต๊ะตรงข้าม ได้ยินดังนั้นก็ส่งสายตาให้อันหลิงเกอ มุมปากยกยิ้มขึ้น ความรักในแววตามิเคยจางหายไป เมื่อเห็นอันอิงเฉิงเดินมาถึงก็เก็บสายตากลับ “เดินทางมาทั้งวันแล้ว ท่านโหวดื่มสุราสักหน่อยหรือไม่ขอรับ ? ”
อันอิงเฉิงมิเกรงใจ นั่งลงฝั่งตรงข้ามมู่จวินฮานทันที “ยังมิเคยได้ขอบคุณมู่ซื่อจื่ออย่างจริงจังเลย วันนี้ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”
เขาเพิ่งรินสุราลงไป ยังมิทันยกเข้าปากก็ได้ยินเสียงดังสนั่นของเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ที่พุ่งเข้ามาจากด้านนอก
“พวกเจ้าคือขุนนางที่ถูกส่งมารักษาโรคระบาดใช่หรือไม่ ? ”
หลังจากเสียงดังนี้จบลง พลันเห็นราษฎรกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางดุร้าย คนเดินนำหน้ามีรอยมีดกรีดอยู่บนใบหน้าแผลหนึ่ง แลดูโหดเหี้ยมยิ่งนัก
อันอิงเฉิงวางจอกสุราในมือลง ใบหน้าสงบนิ่งแล้วเอ่ยถามออกไป “พวกเจ้าเป็นใคร ? ”