พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 228 หมดสติ
ตอนที่ 228 หมดสติ
“ปี้จู เจ้าเฝ้าอยู่ที่เรือนและทำเหมือนข้าอยู่ในเรือน หากมีผู้ใดมาก็ให้บอกไปว่าข้าหลับแล้ว ส่วนหมิงซินออกไปข้างนอกกับข้า”
พออันหลิงเกอกลับถึงเรือนก็รีบสั่งงานสาวใช้ทั้งสองทันที
น้อยครั้งที่จักเห็นนางมีท่าทีร้อนรนเช่นนี้ ปี้จูและหมิงซินตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้จึงรีบตอบรับโดยมิรอช้า
คนเฝ้าประตูเหล่านั้นถูกพวกนางซื้อตัวไว้นานแล้ว พอเห็นพวกนางออกจากจวนก็ทำเป็นมองมิเห็น
…
ณ สำนักศึกษาจิงตู เสียงอ่านหนังสือในสำนักศึกษาจิงตูดังก้อง อันหลิงเกอเดินมุ่งหน้าไปยังที่มาของเสียง
พอเดินเข้าไปได้ครึ่งทางกลับมีคนผู้หนึ่งโผล่ออกมาอย่างฉับพลัน
“ช่างบังเอิญเสียจริงที่ข้าได้พบคุณหนูใหญ่อันที่นี่ ดูเหมือนว่าพวกเราจักมีวาสนาต่อกัน”
จ้าวหลานหยู่สวมชุดขาวทั้งตัว มือข้างหนึ่งสะบัดพัด กอปรกับใบหน้าที่ดูดีของเขายิ่งทำให้เขาเหมือนบุรุษเจ้าเสน่ห์ที่มีความสามารถทางด้านกาพย์กลอน
แต่แววตาเขาเต็มไปด้วยเจตนาร้ายจึงทำลายภาพลวงตาจอมปลอมไปในทันที
อันหลิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบเขาและถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อเว้นระยะห่าง “องค์ชายเจ็ดมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไรเพคะ ? นี่เป็นเวลาเรียนหนังสือมิใช่หรือ ? ”
ท่าทางห่างเหินของนางทำให้จ้าวหลานหยู่มิชอบใจนัก หากอันหลิงเกอมิมีโฉมหน้าที่งดงามเช่นนี้ เขาหรือจักลดตัวลงมายืนสนทนากับนางที่นี่ !
ทว่าพอมองใบหน้านั้น จ้าวหลานหยู่ก็อดหวั่นไหวขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ เขาได้แต่กดความมิชอบใจลงไปและพยายามมอบรอยยิ้มออกมา “ข้ากำลังจักไปเรียนหนังสืออยู่พอดี”
เห็นอันหลิงเกอทำหน้าสงสัย เขาจึงต้องอธิบายให้ฟัง “คุณหนูใหญ่เป็นสตรีย่อมมิทราบ พวกเรานอกจากเรียนวิชาทั่วไปแล้ว ยังต้องเรียนการแข่งขันบนหลังม้าหรือโปโลอีกด้วย“
การแข่งขันบนหลังม้าหรือโปโล เป็นการละเล่นชนิดหนึ่งที่เพิ่งนิยมเล่นในเมืองจิงเมื่อมิกี่ปีมานี้ บุรุษจักนั่งอยู่บนหลังม้าโดยถือเหล็กยาวไว้ในมือ จากนั้นใช้เหล็กยาวเกลี่ยบอลเข้าประตูที่กำหนดไว้แล้วใช้คะแนนนั้นมาตัดสินแพ้ชนะ
แม้อันหลิงเกอมิเคยเห็นมาก่อน ทว่าเคยได้ยินการแข่งขันเช่นนี้มาบ้าง
ดวงตาของนางดูล้ำลึกแล้วเอ่ยถามราวกับมิใส่ใจ “เหล่าองค์ชายล้วนต้องเรียนโปโลในวันนี้หรือเพคะ ? ”
จ้าวหลานหยู่ยังคิดว่านางมีความสนใจต่อสิ่งนี้จึงอดทำหน้าดีใจมิได้ เขารีบทำท่าทางให้ดูน่าเชื่อถือ “ตอนนี้เหล่าองค์ชายคงเริ่มฝึกกันแล้ว หากคุณหนูใหญ่สนใจ ข้าจักพาเจ้าไปดู”
“ขอบพระทัยองค์ชายเจ็ดเพคะ”
อันหลิงเกอกล่าวขอบคุณ แต่ได้ยินจ้าวหลานหยู่พูดว่า “ทว่าสนามม้าค่อนข้างอันตราย อาจารย์จึงห้ามคนนอกเข้า ข้าพาเจ้าไปย่อมไร้ปัญหา แต่สาวใช้ผู้นี้ของเจ้าข้าพาเข้าไปมิได้”
อันหลิงเกอลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ได้เพคะ หมิงซิน เจ้าไปรอข้าที่สำนักศึกษา”
สำนักศึกษามิใช่วัง นางจึงมิกลัวว่าจ้าวหลานหยู่จักลงมือกับนางที่นี่
ดวงตาจ้าวหลานหยู่มีประกายดำมืดแล่นผ่าน รอจนหมิงซินจากไปไกลแล้ว เขาถึงได้พาอันหลิงเกอเดินไปสนามม้าอย่างมิรีบร้อน
อันหลิงเกอมิได้สงสัยเขา แต่เมื่อกำลังเดินผ่านมุมโค้งกลับมีบางอย่างกระแทกเข้ามาจากด้านหลัง
นางได้แต่ร้องภายในใจว่าแย่แล้ว ยังมิทันหันกลับไปมองก็รู้สึกว่าบริเวณคอเจ็บขึ้นมา จากนั้นนางก็หมดสติไป
“เหตุใดมิรู้จักเบามือหน่อย ถ้าเกิดทำให้สาวงามบาดเจ็บขึ้นมาจักทำเยี่ยงไร ? ”
จ้าวหลานหยู่มองทหารของตนพร้อมกล่าวตำหนิ แต่แววตาเต็มไปด้วยความดีใจอย่างยิ่ง
เขาเป็นถึงองค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ หากต้องการสตรีนางใดย่อมต้องได้มาครอง คนเยี่ยงอันหลิงอีก็แสนโง่นัก บอกให้เขาเล่นละครเป็นสุภาพบุรุษช่วยสาวงามอันใดนั่น ดูสิ ท้ายที่สุดยังมิได้อันใดกลับมาเลย
ใช้ไม้แข็งเยี่ยงนี้มิง่ายและเร็วกว่าหรือ ตีคนให้สลบและพากลับจวนไปเลย รออันหลิงเกอกลายเป็นคนของเขาแล้ว แม้ว่านางมิยินยอมก็ทำได้แค่แต่งกับเขาอย่างเชื่อฟัง
แต่ครั้งนี้เห็นแก่ที่พวกนางสองแม่ลูกมีความพยายามหลอกล่ออันหลิงเกอออกมา เขาจักมิใส่ใจเรื่องโง่เง่าที่อันหลิงอีทำไว้ในครั้งก่อนก็แล้วกัน
จ้าวหลานหยู่โบกมือด้วยอารมณ์ดีสุดขีด “นำตัวกลับไปที่จวน ! ”
ที่มุมลับตาคนมีรถม้าซึ่งตกแต่งอย่างประณีตปรากฏขึ้น จ้าวหลานหยู่พาอันหลิงเกอที่หมดสติขึ้นรถม้า เขาดีใจจนมิทันสังเกตเห็นว่าอันหลิงเกอที่ควรสลบไปแล้วได้เคลื่อนไหวนิ้วของนางราวกับเป็นการส่งสัญญาณอันใดบางอย่าง
องค์ชายเจ็ดซึ่งบรรลุนิติภาวะนานแล้วจึงเป็นเรื่องปกติที่ได้ย้ายออกจากวังมาอยู่ที่จวน ดังนั้นจึงสะดวกต่อแผนการของเขามาก
จ้าวหลานหยู่ฮัมเพลงมิเป็นจังหวะพร้อมอุ้มอันหลิงเกอไว้ในอ้อมเเขน เดินเข้าไปในห้องของตนอย่างเบิกบาน
เขาวางอันหลิงเกอลงเตียง กำลังจักทาบทับลงไปก็เห็นคนที่หมดสติไปแล้วลืมตาขึ้นมา อีกทั้งตอนนี้กำลังฉีกยิ้มให้เขาด้วยใบหน้าแสนน่ากลัวยิ่งนัก
“เจ้าฟื้นตั้งแต่เมื่อไร ? ” จ้าวหลานหยู่ตกใจจนกระโดดถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว พอนึกได้ว่าที่นี่คือจวนของตนถึงได้เรียกความกล้าคืนมาได้ เขาหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้ายแล้วค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้อันหลิงเกอ “เจ้าตื่นขึ้นมาก็ดี ข้ายังกลัวว่าเจ้าจักไร้การตอบสนองอันใด พอเล่นไปสักพักแล้วข้าจักหมดสนุกเอาได้”
แววตาอันหลิงเกอมีแต่ความเย็นชา ทว่าใบหน้ายังคงแต้มยิ้มอย่างงดงาม “มิต้องห่วงเพคะ วันนี้องค์ชายเจ็ดได้เล่นอย่างมีความสุขแน่นอน”
“ถือว่าเจ้ารู้ความ” จ้าวหลานหยู่ยังคิดว่านางกลัวจึงดีใจขึ้นมาและรีบพุ่งเข้าไปหานางโดยมิรอช้า
แต่เขากลับเห็นอันหลิงเกอหลบไปด้านข้างแล้วโปรยผงบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ
นี่คือสิ่งใด ?
จ้าวหลานหยู่เพิ่งคิดเช่นนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกวิงเวียนกะทันหัน ร่างกายของเขาโอนเอนไปมามิมั่นคงและสุดท้ายก็ล้มลง
เสียงโครมดังขึ้นทีหนึ่งทำให้ทหารนอกประตูตะโกนเข้ามาอย่างเป็นกังวล “องค์ชาย เกิดอันใดขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“อย่าเข้ามานะเพคะ ! ” อันหลิงเกอร้องเสียงแหลมออกมาทันที เสียงของนางยามนี้เต็มไปด้วยความร้อนรนและเกรงกลัว
ที่แท้สตรีนางนั้นก็ตื่นแล้วนี่เอง นายทหารยิ้มออกมาโดยมิได้ติดใจอันใดแล้วยืนห่างออกไปอีก
อันหลิงเกอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนอกประตู รอจนแน่ใจว่าทหารเดินไปไกลแล้วถึงได้จัดเสื้อผ้าของตนแล้วไปนั่งบนเตียง พร้อมเป่านกหวีดเรียกองครักษ์เงา
บนหลังคาเรือนมีเสียงดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้น เห็นองครักษ์เงาที่มู่จวินฮานส่งมากระโดดลงจากหลังคา
“จวิ้นจู่ต้องการสั่งอันใดหรือขอรับ ? ”
องครักษ์เงาเหลือบมองจ้าวหลานหยู่ที่หมดสติไปแล้ว จากนั้นทำเหมือนมิเห็นอันใด ใบหน้ายังดูเรียบเฉยดังเดิม
อันหลิงเกอยกยิ้มมุมปาก นางกระซิบเสียงเบาอยู่สองสามประโยค
องครักษ์เงาเลิกคิ้วด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง แต่ยังเอ่ยด้วยความเคารพ “อีกสักครู่ ข้าน้อยจักส่งคนมาขอรับ”
“ไปเถิด จัดการทหารเหล่านั้นไปด้วย” อันหลิงเกอโบกมือ องครักษ์เงาก็หายไปทันทีราวกับมิเคยมีตัวตนมาก่อน
นางมองออกไปนอกประตู เมื่อเห็นทหารของจ้าวหลานหยู่วิ่งไล่ตามองครักษ์เงาไปแล้วถึงได้เปลี่ยนชุด ปลอมตัวเป็นบุรุษและหลบหนีออกมาจากจวนขององค์ชายเจ็ด
ในตอนแรกนางมิรู้ว่าหลี่ซื่อและอันหลิงอีวางแผนเล่นงานนางเอาไว้ อีกอย่างนางเป็นห่วงความปลอดภัยอันหลิงจุนจึงได้วิ่งออกมาอย่างรีบร้อน
แต่เมื่อพบจ้าวหลานหยู่ นางก็เข้าใจในทันทีว่าการที่หลี่ซื่อและอันหลิงอีมีท่าทีผิดปกติก็เพราะต้องการล่อให้นางออกนอกจวนนั่นเอง
จากนิสัยของนาง หากในวันสำคัญเช่นนี้ อันหลิงจุนมิอยู่จวน แน่นอนว่านางต้องออกมาตามหา นี่ย่อมเปิดโอกาสให้จ้าวหลานหยู่ลงมือได้แล้ว
น่าเสียดายที่แม้พวกของหลี่ซื่อคิดทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็เหมือนยังดูถูกความสามารถของนางมากอยู่ดี