พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 234 เกิดความลำบาก
ตอนที่ 234 เกิดความลำบาก
ทว่าหลี่กุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง นางเพียงเอนกายไปแอบอิงอยู่ข้างวรกายของฮ่องเต้ แย้มยิ้มอย่างนุ่มนวลพร้อมกล่าวเป็นนัยว่า “ยังมีคุณหนูใหญ่อันอีกคน นางเป็นเพียงสตรีในเรือนกลับสามารถคิดค้นสูตรยารักษาโรคระบาดได้ มิทราบว่าสูตรยานั้นได้มาจากที่ใดหรือ ? ”
ใบหน้าหลี่กุ้ยเฟยประดับยิ้มอ่อนโยน แต่คำกล่าวช่างแหลมคมยิ่งนัก
ตอนแรกกล่าวว่าอันอิงเฉิงคาดเดาการระบาดของโรคได้ล่วงหน้าคือสิ่งผิดปกติ ทั้งยังกล่าวอีกว่าอันหลิงเกอเป็นสตรีในเรือนนางหนึ่งกลับมียารักษาโรคระบาด นี่ยิ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม คำพูดของหลี่กุ้ยเฟยมิได้สร้างความลำบากให้อันหลิงเกอแต่อย่างใด ใบหน้าของนางยังมีรอยยิ้ม นัยน์ตาสีดำยังคงเปล่งประกาย “ทูลหลี่กุ้ยเฟย เวลาว่างหม่อมฉันชอบอ่านตำรา เพียงโชคดีได้เห็นสิ่งที่กล่าวไว้บนตำราโบราณ ตอนนั้นรู้สึกว่าน่าสนใจจึงจดบันทึกเอาไว้เพคะ”
“ตำราโบราณเล่มนั้นอยู่ที่ใดหรือ ? ” หลี่กุ้ยเฟยกัดมิปล่อย ท่าทางเหมือนต้องการเค้นถามให้ถึงที่สุด
อันหลิงเกอมองฮ่องเต้หนึ่งที จากนั้นก็เก็บสายตา “ตำราโบราณเล่มนั้นโดนน้องหญิงสามเอาไปรองขาโต๊ะแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงทราบแล้วเพคะ”
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้มิอยากเห็นหลี่กุ้ยเฟยจับเรื่องนี้ไว้มิยอมปล่อยจึงกระแอมขึ้นทีหนึ่ง “สนมรัก เมื่อวานข้าได้ถามไปแล้ว ตำราโบราณเล่มนั้นหามิเจอจริง ๆ ”
เมื่อวานนี้จ้าวหลานหยู่เสียเปรียบถึงเพียงนั้น เรื่องอันใดหลี่กุ้ยเฟยจักยอมปล่อยอันหลิงเกอไปโดยง่าย ?
หลี่กุ้ยเฟยทำใบหน้าบึ้งตึง ทั้งที่นางเป็นสตรีแต่งงานแล้ว อายุก็ประมาณ 30 ปีได้ ทว่าเมื่อทำท่าทางเหล่านี้ออกมากลับมิได้ทำให้นางดูน่ารังเกียจแต่อย่างใด “หม่อมฉันแค่อยากรู้เพคะ ตำราโบราณเล่มนั้นเหตุใดจึงยอดเยี่ยมนัก มีแม้กระทั่งวิธีรักษาโรคระบาด น่าเสียดายที่ในอดีตเหล่าหมอหลวงมิค้นพบตำรานี้ เช่นนั้นคงมิต้องปล่อยให้ราษฎรนับพันนับหมื่นถูกโรคระบาดทำร้ายจนตายเพคะ”
นี่เป็นการเอ่ยถึงโรคระบาดเมื่อครั้งอดีตฮ่องเต้ยังครองราชย์ ความหมายของนางคือ คนตั้งมากมายในอดีตมิมีผู้ใดเจอตำราโบราณเล่มนี้สักคน ไฉนจึงเป็นอันหลิงเกอที่เจอมัน เรื่องนี้มิใช่ว่าน่าสงสัยหรอกหรือ
ซินเจียวเจียวทนฟังต่อมิไหว ตั้งแต่นางมาอยู่กับฮูหยินหมิงจูก็มิได้มีความรู้สึกดีอันใดต่อหลี่กุ้ยเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานนี้เลย ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายโจมตีอันหลิงเกอจึงเกิดความกังวลขึ้นมา นางจึงเอ่ยว่า “เรื่องความโชคดีมิเข้าใครออกใครหรอกเพคะ คุณหนูใหญ่อันมีจิตใจดีงามจึงมีโอกาสได้พอสิ่งที่ผู้อื่นมิมีโอกาสได้เจอ หรือคุณหนูใหญ่อันมิคู่ควรได้เจอของพวกนี้เพคะ ? ”
ในแผ่นดินนี้มีตำรามากมาย ตำราที่ทุกคนอ่านย่อมมิเหมือนกันอยู่แล้ว หมอหลวงของอดีตฮ่องเต้มิพบวิธีรักษาโรคระบาดก็มิได้หมายความว่าอันหลิงเกอต้องมิพบวิธีรักษาโรคระบาดเช่นกัน
หลี่กุ้ยเฟยใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มดูเย็นชาอยู่บ้าง “จวิ้นจู่และคุณหนูใหญ่อันมิเคยรู้จักกันมาก่อน เหตุใดจึงกล่าวว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนมีเมตตา ? ”
อันหลิงเกอทำให้หลี่ซื่อพี่หญิงของนางต้องเสียเปรียบครั้งแล้วครั้งเล่า ย่อมมิใช่คนมีเมตตาอันใด !
“คุณหนูใหญ่อันเคยช่วยชีวิตหม่อมฉันมาก่อน จักมินับว่าเป็นผู้มีเมตตาได้เยี่ยงไรเพคะ ? ” ซินเจียวเจียวมิยอมแพ้ ดวงตาคมกริบจ้องหลี่กุ้ยเฟยเขม็ง “คุณหนูใหญ่อันสามารถช่วยคนแปลกหน้าคนหนึ่งไว้ย่อมสามารถช่วยราษฎรในฉู่โจวได้ ขอทูลถามหลี่กุ้ยเฟยว่าพระองค์เคยมีความคิดอยากช่วยเหลือบ้างหรือไม่เพคะ ? ”
นางเพิ่งกลับมาอยู่ข้างกายฮูหยินหมิงจูได้มินาน แต่มิได้หมายความว่านางมิรู้เรื่องอันใดเลย เพียงกล่าวมิกี่คำก็ทำเอาหลี่กุ้ยเฟยรู้สึกโกรธขึ้นมาเสียแล้ว
องค์ฮองเฮาที่เห็นใบหน้าหลี่กุ้ยเฟยดูมิดี ดวงเนตรก็มีความขบขันฉายออกมา
อาศัยความโปรดปรานของฮ่องเต้มาวางอำนาจในวังหลวง มิเห็นนางผู้เป็นฮองเฮาอยู่ในสายตา ยามนี้ถูกบีบคั้นจนต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ภายในหทัยรู้สึกสาสมยิ่งนัก
แต่น่าเสียดายที่งานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดยฮ่องเต้ ฮองเฮาจึงมิอาจทนเห็นคนทำเสียบรรยากาศได้
นางทอดพระเนตรความสนุกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยปราม “พอได้แล้วหลี่กุ้ยเฟย คำถามของเจ้ามากเกินไป คุณหนูใหญ่อันช่วยชีวิตราษฎรฉู่โจวไว้ นี่คือความจริงและเป็นเรื่องดี เจ้าสอบสวนนางเช่นนี้มิทราบว่าต้องการอันใด ? ”
หลี่กุ้ยเฟยมิลงรอยกับฮองเฮามาโดยตลอด พอโดนฮองเฮาตำหนิยิ่งรู้สึกโมโหขึ้นไปอีก นางหลุบตาลงทำตัวน่าสงสารทันที “หม่อมฉันเพียงอยากรู้จึงถามมากไปเท่านั้นเพคะ จักมีความคิดอื่นได้เยี่ยงไร ? ”
ฮ่องเต้เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ทรงเป็นห่วงขึ้นมา พระองค์รีบตรัสปกป้อง “สนมรักมิได้มีความคิดอื่นอย่างแน่นอน ฮองเฮาอย่าได้คิดมากเลย”
จากนั้นฮ่องเต้จึงทอดพระเนตรไปยังอันอิงเฉิง สีพระพักตร์แฝงความรู้สึกผิดอยู่บ้าง “เดิมทีท่านโหวอันมาแจ้งเรื่องโรคระบาด เขาเพียงอยากให้ข้าได้เตรียมตัวไว้ก่อน เสียดายที่ข้าคิดว่าคำกล่าวของเขามิน่าเชื่อถือจึงส่งท่านโหวเข้าคุก และท้ายสุดยังเป็นท่านโหวกับคนอื่นที่สามารถแก้ไขเรื่องโรคระบาดได้ ใจข้ารู้สึก…”
อันอิงเฉิงมิรอให้ฮ่องเต้ตรัสจบก็รีบลุกขึ้นยืนทันที “ทูลฝ่าบาท เพียงกระหม่อมสามารถแบ่งเบาภาระให้พระองค์และช่วยเหลือราษฎรได้ ล้วนเป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ ท่านโหว ท่านได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่เช่นนี้มีสิ่งใดที่ปรารถนาหรือไม่ ? ”
ฮ่องเต้มิได้โทษพระองค์เองอีกแล้ว ทว่าเปลี่ยนมาตรัสถึงเรื่องรางวัลแทน
เรื่องรักษาโรคระบาดนี้ แม้เทียบมิได้กับการรบชนะข้าศึก แต่การช่วยชีวิตราษฎรก็ถือเป็นผลงานใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน
ทว่าตำแหน่งของอันอิงเฉิงเดิมทีก็สูงอยู่แล้ว เขาเป็นถึงท่านโหวบรรดาศักดิ์ที่มิใช่เชื้อพระวงศ์ แม้ฮ่องเต้ประทานนามอันใดให้เขาอีกก็มิอาจสูงไปกว่าตำแหน่งโหวในราชสำนักได้
อันอิงเฉิงมีความเกรงกลัวอยู่เล็กน้อย แม้ในใจมีความสุข ทว่าต่อหน้าฮ่องเต้ยังต้องทำทีบอกปัดอยู่ดี “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพียงทำตามหน้าที่ มิกล้าขอให้พระองค์พระราชทานของรางวัลอันใดหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำตามหน้าที่” ฮ่องเต้พึมพำออกมา ต่อมาก็เหมือนนึกอันใดขึ้นได้ “หรือข้าจักแต่งตั้งให้ท่านเป็นขุนนางตุลาการหน่วยเซินจีหยิง มีหน้าที่กำกับดูแลเซินจีหยิง เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
เซินจีหยิงเป็นกองทหารกองหนึ่งที่เก่งกาจที่สุดในเมืองจิง ฮ่องเต้แต่งตั้งให้อันอิงเฉิงมีหน้าที่บัญชาการเซินจีหยิงโดยตรงก็หมายถึงได้มอบขุมกำลังทหารเหล่านี้ให้อันอิงเฉิงแล้ว
อันอิงเฉิงรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาอยู่ในราชสำนักมานานหลายปีนี่เป็นครั้งแรกที่มิอาจซ่อนความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ได้ “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
แค่เขาได้ดูแลเซินจีหยิงก็หมายความว่าเขามีกองกำลังทหารอยู่ในมือ เมื่อมิใช่โหวที่มีเพียงตำแหน่งเปล่า ๆ อีกต่อไป คนในเมืองจิงก็ต้องยกย่องเขาไปอีกขั้นหนึ่งมิใช่หรือ ?
อีกอย่างฮ่องเต้ทรงมอบเซินจีหยิงนี้ให้เขาดูแล หมายถึงพระองค์เชื่อใจเขา มิเสียแรงที่เขาเสี่ยงชีวิตเข้าวังกราบทูลเรื่องโรคระบาดจนถูกขังคุกหลวงเลยจริง ๆ
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มีสีหน้าแตกต่างกันไป แม้ยังตกตะลึงอยู่บ้างแต่พวกเขาก็ปกปิดมันได้อย่างรวดเร็ว และทำได้แต่ทูลว่าฝ่าบาททรงพระปรีชา
รางวัลของอันอิงเฉิงถูกกำหนดแล้ว ทว่ามู่จวินฮานยังมิได้รับพระราชทานรางวัล
หลังจากนั้นฮ่องเต้จึงหันไปมองมู่จวินฮานด้วยความเอ็นดู “สำหรับจวินฮาน ข้าจักพระราชทานภรรยาที่งดงามและมีเมตตาให้คนหนึ่ง เจ้าจักได้แต่งงานเสียที เช่นนี้อ๋องมู่จักมิต้องกังวลเรื่องเจ้าอีก เจ้ายินดีหรือไม่ ? ”
ความเป็นห่วงที่มาจากผู้ใหญ่ ทั้งยังแฝงด้วยการลองใจทำให้มู่จวินฮานส่ายหน้าและท่าทีมิเอาไหนของเขาก็กลับมาอีกครั้ง “ทูลฝ่าบาท สาวงามที่ว่ายังสู้ความงามของกระหม่อมมิได้เลย กระหม่อมชอบพวกนางมิลงหรอกพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์จักมอบรางวัลให้กระหม่อมจริงก็มอบภาพวาดโดดเดี่ยวซ่อนตัวในหมอกให้ดีกว่า ท่านพ่อของกระหม่อมอยากได้ภาพนั้นมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงของเขาทำให้สตรีทั้งหลายพากันหน้าแดง รู้สึกทั้งโกรธระคนเขินอาย
มู่จวินฮานเดิมทีหล่อเหลาอยู่แล้ว แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังต้องแย้มพระสรวลเสียยกใหญ่ “ดี ประเดี๋ยวกลับไปข้าจักสั่งคนนำภาพนั้นส่งไปที่จวนของเจ้า”