พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 237 หมอหญิง
ตอนที่ 237 หมอหญิง
นี่มิใช่ครั้งแรกที่อันหลิงเกอเอ่ยถึงการเชิญแม่นมมาอบรมสั่งสอน
แต่ครั้งนี้นางกล่าวอย่างชัดเจนว่าต้องเชิญแม่นมที่อยู่ในกฎระเบียบเข้มงวดและถูกอบรมมาอย่างดี แน่นอนว่าเพราะนางอยากให้อันหลิงเฉว่ได้รับความลำบาก
แม้ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจเจตนาของนางแต่ก็มิได้ต่อต้าน เพียงพยักหน้าเห็นด้วย “เกอเอ๋อกล่าวถูก นิสัยของเฉว่เอ๋อต้องปรับปรุงอย่างจริงจัง”
“หลานต้องเข้าวังพรุ่งนี้พอดี เช่นนั้นให้หลานไปร้องขอแม่นมมาจากฮองเฮาสักคนดีหรือไม่เจ้าคะ หลานคิดว่าฮองเฮาต้องมิปฏิเสธแน่นอน” อันหลิงเกอยิ้มอย่างเป็นมิตร เพียงแต่สายตาเย็นเยียบจนทำให้อันหลิงเฉว่ตัวสั่นขึ้นมาทันที
ฝีมือของแม่นมในวังร้ายกาจอย่างยิ่ง หากเชิญมาได้นางต้องถูกจับสั่งสอนอย่างเข้มงวดใช่หรือไม่ ?
อันหลิงเฉว่กำลังจักคัดค้าน ทว่าเจิ้งซื่อแอบหยิกนางเบา ๆ ทีหนึ่ง นางจึงได้แต่มุ่ยปากแล้วกล่าวออกมาอย่างลำบากใจ “เฉว่เอ๋อเชื่อฟังพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
นางทำตัวอ่อนแอน่าสงสารอีกแล้วจึงทำให้อันหลิงเกอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
เรื่องที่ท่านแม่ถูกทำร้ายจนตายยังตามหาเบาะแสอันใดมิเจอ อันหลิงเฉว่ยังออกมาขัดขวางนางเป็นระยะ ทางที่ดีก็ใช้แม่นมมาคุมไว้สักคนหนึ่งจักได้มิต้องสร้างเรื่องวุ่นวายอันใดขึ้นอีก
เมื่อเรื่องโรคระบาดได้จบสิ้นลง อันหลิงเกอก็มิได้มีเวลาว่างมากนัก นางจึงให้ปี้จูและหมิงซินช่วยทำความสะอาดตำราการแพทย์แล้วนำมันไปตากที่ลานกลางเรือน วันที่สองนางถึงได้เข้าวัง
ในสำนักหมอหลวงมีแต่บุรุษ อันหลิงเกอเป็นสตรีเพียงคนเดียวจึงเป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอมอันใดสักอย่าง
ทว่าเหล่าหมอหลวงในสำนักก็มิได้ขับไล่นางออกจากกลุ่ม กลับต้อนรับการมาของนางเสียด้วยซ้ำ
ที่นี่มีหมอหลวงมิน้อยที่โดนฮ่องเต้ส่งไปยังฉู่โจว พวกเขาจึงรู้ว่าอันหลิงเกอมีความอดทนและจริงจังมากเพียงใด แม้สูตรยาของนางจักได้มาจากตำราโบราณ แต่พวกเขาคิดว่าฝีมือการแพทย์ของนางย่อมมิธรรมดา นิสัยของหมอเมื่อได้พบหมอที่เก่งกาจก็อยากแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
อันหลิงเกอมิได้แสดงท่าทีว่าตนสูงส่งกว่าแต่อย่างใด มุมปากนางประดับยิ้มจางๆ และตอนที่กำลังสนทนาแลกเปลี่ยนประวัติผู้ป่วยกับบรรดาหมอด้วยกัน หลี่กุ้ยเฟยก็เดินเข้ามาพอดี
“คุณหนูใหญ่อันหลงใหลเรื่องการแพทย์เสียจริง เมื่อวานเพิ่งถูกแต่งตั้งให้เป็นหมอหญิง วันนี้ก็เข้าวังมาเสียแล้ว ความขยันของเจ้าทำให้ข้านับถือยิ่งนัก”
เหล่าหมอหลวงจึงรีบคารวะให้หลี่กุ้ยเฟยพร้อมกล่าวถ้อยคำเป็นมงคลให้นางด้วย
อันหลิงเกอยืนอยู่ที่เดิมโดยมิขยับเขยื้อน เพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าดูคาดมิถึงอยู่บ้าง “หลี่กุ้ยเฟยมีร่างกายที่บอบบางและล้ำค่ายิ่งนัก เหตุใดจึงมาสถานที่เช่นนี้ได้ นี่เป็นที่ของคนงาน มิคู่ควรให้พระองค์มาเยือนเช่นนี้เลยเพคะ”
เหล่าหมอหลวงก็ถือเป็นคนงาน เป็นคนชั้นต่ำในสายงานขุนนาง อันหลิงเกอกล่าวเช่นนี้นับว่าจงใจตำหนิหลี่กุ้ยเฟยแล้ว
หลี่กุ้ยเฟยทำเหมือนฟังความหมายมิออก นางยังคงยิ้มให้อันหลิงเกออย่างเป็นกันเอง ประหนึ่งเรื่องที่นางกับพวกหลี่ซื่อรวมหัวใส่ร้ายอันหลิงเกอมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน “คุณหนูใหญ่อันสามารถมาที่เช่นนี้ได้ แน่นอนว่าข้าก็ย่อมมาได้เช่นกัน”
ในรอยยิ้มบนหน้าของนางช่างดูสมจริงจนมองความผิดปกติใดๆ มิออก “ในวังมีคนเพียงมิกี่คนและคนที่สามารถคุยเป็นเพื่อนข้าได้ก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ข้าได้ยินว่าเจ้าเข้าวังจึงรีบมาหาทันที เพราะข้าคิดถึงเจ้ามาก”
คิดถึงกองกำลังทหารในมืออันอิงเฉิงมากกว่ากระมัง
เซินจีหยิงมิเหมือนกองทหารหน่วยอื่น พวกเขาเฝ้าอยู่ในเมืองจิงและเป็นผู้ที่ใกล้ชิดฮ่องเต้ที่สุดนอกเหนือจากเหล่าราชองครักษ์
หากกล่าวว่าหน้าที่ขององครักษ์คือคุ้มครองฮ่องเต้ เช่นนั้นเซินจีหยิงก็มีหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยของเมืองจิงนั่นเอง
กองกำลังทหารเช่นนี้มิต่างจากอาวุธคมกริบในมือ ในเมื่อจ้าวหลานหยู่ต้องการต่อสู้เพื่อบัลลังก์ เช่นนั้นจึงเป็นไปมิได้เลยที่เขาจักมิสนใจสิ่งเหล่านี้
อันหลิงเกอยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูห่างเหิน นางเดินถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งอย่างมิใส่ใจเพื่อเว้นระยะห่างจากหลี่กุ้ยเฟย “หลี่กุ้ยเฟยมิคิดถึงน้องหญิงสาม แต่มาคิดถึงหม่อมฉันที่มิได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับพระองค์เลย ช่างแปลกมิน้อยเลยเพคะ”
อันหลิงเกอหมายความว่าพวกนางไร้ความสัมพันธ์ใดต่อกัน แต่หลี่กุ้ยเฟยกลับขยันเอาใจนางเช่นนี้คงเพราะมีเป้าหมายบางอย่างเป็นแน่
“แปลกตรงไหนกันเล่า?” หลี่กุ้ยเฟยเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่งแล้วยิ้มอย่างสนิทสนมคุ้นเคย อีกทั้งยังยื่นมือไปจับข้อมือของอันหลิงเกอไว้ด้วย “เมื่อวานข้าก็บอกแล้วว่าอยากได้เจ้ามาเป็นลูกสะใภ้ หรือว่าเจ้ามิยินยอม ? ”
ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มแต่มือที่จับอันหลิงเกอไว้บีบแน่นอย่างยิ่ง น้ำเสียงยังแฝงด้วยการข่มขู่
วังนี้เป็นเขตของนาง หากอันหลิงเกอกล้าบอกว่ามิยินยอม นางย่อมมีวิธีจัดการเป็นแน่
หมอหลวงรับรู้ว่าหลี่กุ้ยเฟยมิได้มาดีอย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็มิใช่คนที่มีตำแหน่งใหญ่โตอันใดในราชสำนัก แม้มีใจอยากช่วยอันหลิงเกอก็มิกล้าเอ่ยคำใดออกมาอยู่ดี
อันหลิงเกอหน้าซีดทันที ดวงตาสีดำล้ำลึกของนางจ้องไปที่หลี่กุ้ยเฟย “หลี่กุ้ยเฟยมาหาหม่อมฉันถึงที่นี่ มิทราบว่าฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะ ? ”
“ฝ่าบาทมิใส่พระทัยในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว” หลี่กุ้ยเฟยยิ้มอย่างได้ใจจนริ้วรอยที่หางตาปรากฏขึ้นจาง ๆ “คุณหนูใหญ่อันเพียงตอบว่าตกลงหรือไม่ เรื่องอื่นมิจำเป็นเอามายุ่งเกี่ยว”
หึ ในเมื่อบังคับให้นางตกลงยอมแต่งงาน ยังกล้าบอกว่าเรื่องอื่นมิเกี่ยวอีก
หลี่กุ้ยเฟยอยู่ในวังคงคุ้นเคยกับการโดนตามใจ คงคิดว่าจักบีบบังคับใครก็ได้และทุกคนต้องทำตามที่ตนต้องการ
มุมปากของอันหลิงเกอมีรอยยิ้มหยันและใบหน้าที่งดงามก็แฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย “เรื่องการแต่งงานของหม่อมฉัน หลี่กุ้ยเฟยมิมีสิทธิ์มาตัดสินใจแทนเพคะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าตัดสินใจมิได้ ? ” หลี่กุ้ยเฟยมิคิดปิดบังเจตนาชั่วร้ายอีกต่อไป น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยการข่มขู่อย่างชัดเจน “ขอเพียงข้าทูลขอพระราชโองการจากฮ่องเต้ แม้เจ้ามิยินยอมแต่ก็ยังต้องแต่งงานกับบุตรชายของข้าอย่างเชื่อฟัง ทางที่ดีเจ้าตกลงตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า ประเดี๋ยวข้าจักกลับไปทูลฝ่าบาทให้พระองค์ไปสู่ขอเจ้าที่จวนโหว เจ้าจักได้แต่งเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย”
“เจ้าวางแผนไว้ได้มิเลวทีเดียว” ฮองเฮาก้าวยาว ๆ เข้ามาในสำนักหมอหลวง ทำให้เหล่าหมอหลวงคารวะอย่างตกใจไปตาม ๆ กัน
ฮองเฮาโบกพระหัตถ์และมิได้ทอดพระเนตรหมอหลวงที่อยู่บนพื้น แต่ทอดพระเนตรตรงไปยังหลี่กุ้ยเฟยด้วยท่าทีเยาะเย้ยเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าคุณหนูใหญ่โง่ถึงขั้นถูกถ้อยคำที่กล่าวออกมาเพียงมิกี่คำของเจ้าหลอกเอาหรือ ? ”
อยากฉวยโอกาสที่อันหลิงเกอเข้าวัง หว่านล้อมให้ตกลงเรื่องแต่งงานต่อหน้าหมอหลวง ก็ต้องดูว่าฮองเฮาเยี่ยงพระนางตกลงหรือไม่ก่อน !
นี่เป็นเวลาสำคัญพอดี แต่ฮองเฮามาปรากฏตัวขึ้นเสียได้ เห็นได้ชัดว่าจงใจมาขัดขวาง หลี่กุ้ยเฟยจึงมีสีหน้ามิชอบใจและใบหน้าอ่อนโยนก็ดูต่อต้านฮองเฮามิน้อย “ฟังที่พระองค์ตรัสสิเพคะ หม่อมฉันเพียงถามนางว่ายินยอมแต่งงานกับบุตรชายของหม่อมฉันหรือไม่ ถือเป็นการให้เกียรตินางแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นหลอกนางไปได้เพคะ ? ”
ในที่สุดฮองเฮาก็มาถึงเสียที อันหลิงเกอมิกลัวหลี่กุ้ยเฟยวาดลวดลายอันใดอีกแล้ว นางหุบยิ้ม มุมปากคว่ำลงจนดูน่ากลัว “หม่อมฉันกล่าวไปแล้วว่ามิตกลง แต่หลี่กุ้ยเฟยก็บีบบังคับหม่อมฉันครั้งแล้วครั้งเล่า หม่อมฉันมิทราบจริง ๆ ว่าหลี่กุ้ยเฟยมีจุดประสงค์อันใด ฮองเฮาได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันด้วยเพคะ”