พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 238 ศึกวุ่นวาย
ตอนที่ 238 ศึกวุ่นวาย
แม้หลี่กุ้ยเฟยเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ แต่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลังก็ยังเป็นฮองเฮาอยู่ดี
ตั้งแต่ยามที่อันหลิงเกอก้าวเข้ามาในวัง ฮองเฮาก็ได้ทราบข่าวนี้แล้ว
ดังนั้นเรื่องที่หลี่กุ้ยเฟยมาหาอันหลิงเกอที่สำนักหมอหลวงย่อมต้องมีคนรายงานพระนางด้วยเช่นกัน
นางกับหลี่กุ้ยเฟยมิลงรอยกัน เมื่อทราบความคิดของหลี่กุ้ยเฟย นางย่อมมิทนเห็นอันหลิงเกอโดนหลี่กุ้ยเฟยข่มขู่โดยที่ตนมิทำอันใดเลย
เมื่อครู่ที่อันหลิงเกอจงใจพูดอ้อมไปมากับหลี่กุ้ยเฟยก็เพราะต้องการยื้อเวลา รอการมาถึงของฮองเฮานั่นเอง
นางหลุบตาลง แม้นี่เป็นการขอร้องให้ฮองเฮาช่วย แต่การวางตัวของนางยังคงเหมาะสมกับฐานะบุตรีคนโตของจวนโหว
ดวงเนตรของฮองเฮามีประกายดำมืดวาบผ่าน แต่พระพักตร์ยังดูเที่ยงธรรม “หลี่กุ้ยเฟย คุณหนูใหญ่อันบอกแล้วว่ามิยินยอม เจ้าบังคับนางเช่นนี้ถือเป็นการให้เกียรตินางหรือ? อย่างไรเสียเมื่อวานนี้ฝ่าบาทก็แสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นเรามิควรยุ่งเรื่องการแต่งงานของคุณหนูใหญ่อันอีก นี่เจ้าลืมรับสั่งของฝ่าบาทเร็วขนาดนี้เชียวหรือ ? ”
มิสนใจรับสั่งของฮ่องเต้ถือเป็นการมิให้เกียรติอย่างมาก หากฮ่องเต้สืบสวนขึ้นมา ฮองเฮาย่อมมีเหตุผลให้เล่นงานหลี่กุ้ยเฟยได้
หลี่กุ้ยเฟยรู้สึกโกรธยิ่งนัก ร่องรอยของความโกรธได้ปรากฏบนใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนาง ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็จางหายไป นางฝืนยิ้มแห้ง “จักเป็นไปได้อย่างไรเพคะ หม่อนฉันก็แค่ชอบคุณหนูใหญ่อันมากจึงอยากถามย้ำหลาย ๆ รอบเท่านั้นเอง ในเมื่อนางมิเต็มใจ หม่อนฉันก็ขอตัวก่อนเพคะ”
นางย่อตัวคารวะฮองเฮาไปอย่างมิเรียบร้อยและมิรอให้ฮองเฮาได้ตรัสอันใด นางก็หันหลังเดินออกจากสำนักหมอหลวงไปแล้ว
หลี่กุ้ยเฟยที่เดินจากไปได้กำผ้าในมือไว้แน่นและมีสีหน้ามืดครึ้มอย่างยิ่ง
ในเมื่ออันหลิงเกอมิรับทั้งไม้แข็งไม้อ่อน เช่นนั้นก็อย่าโทษที่นางมิไว้หน้าแล้วกัน
ในเมื่อดึงมาเป็นพวกมิได้ก็กำจัดทิ้งดีกว่า ป้องกันอันหลิงเกอไปเข้าพวกกับคนอื่น นี่ถือว่าเป็นการช่วยบุตรชายของตนกำจัดอุปสรรคไปคนหนึ่ง !
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…
หลี่กุ้ยเฟยลูบเล็บประดับเคลือบทองบนนิ้ว แววตาของนางเป็นประกายฉายความโหดเหี้ยมออกมา
หลังจากงานเลี้ยงเมื่อวานจบลง นางเพิ่งรู้ว่าอันหลิงเกอทำให้บุตรของนางโดนบุรุษด้วยกันข่มเหง
นั่นคือโอรสของฮ่องเต้ เขาเป็นความภาคภูมิใจทั้งหมดในชีวิตของนาง แต่อันหลิงเกอกล้าเหยียบย่ำเช่นนี้ย่อมมิต่างอันใดกับการเอามีดมากรีดหัวใจของนาง !
นางมิยอมและแค้นนี้ต้องชำระ !
หลี่กุ้ยเฟยผู้เต็มไปด้วยความเกลียดชังมิได้กลับตำหนัก ทว่าเดินไปครัวหลวงแล้วสั่งพ่อครัวหลวงต้มน้ำซุปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็เดินไปห้องทรงพระอักษร
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงอ่านฎีกานานขนาดนี้ ทรงพักดื่มน้ำซุปเสียหน่อยเถิดเพคะ”
หลี่กุ้ยเฟยมีรอยยิ้มอ่อนโยน ทุกย่างก้าวที่เดินไปหาฮ่องเต้ดูงดงามอย่างยิ่ง แม้นางมีอายุมิน้อยแล้ว ทว่ากิริยายังคงอ่อนช้อยราวกับแม่นางน้อยคนหนึ่ง
สตรีที่อ่อนโยนและใส่ใจช่างหาได้ยากนัก
ฮ่องเต้จึงวางฎีกาลง จากนั้นก็หันไปหาหลี่กุ้ยเฟยแล้วแย้มพระสรวล “เหตุใดวันนี้สนมรักจึงมาที่นี่ได้ ? ”
หลี่กุ้ยเฟยวางถ้วยน้ำซุปบนโต๊ะอย่างนุ่มนวลและสง่างาม ถ้วยสีขาวเลี่ยมทองปรากฏให้เห็น น้ำซุปใสทว่าเข้มข้นด้วยรสชาติ บริเวณตรงกลางวางพุทราแดงสดไว้ สีแดงขาวตัดกัน สีสันน่าดึงดูด กลิ่นหอมยั่วน้ำลาย มองแล้วทำให้คนรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา
นางยื่นถ้วยในมือให้ฮ่องเต้พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความใส่ใจและความอ่อนโยน “หม่อมฉันคิดว่าช่วงนี้ฝ่าบาทมิค่อยได้พักผ่อนเพราะโรคระบาด ตอนนี้โรคถูกควบคุมได้แล้ว พระองค์ควรบำรุงพระวรกายให้ดี มิควรทำให้พระพลานามัยย่ำแย่ มิเช่นนั้นหม่อมฉันคงเป็นห่วงแย่เลยเพคะ”
“สนมรักช่างใส่ใจข้ายิ่งนัก” ฮ่องเต้หยิบช้อนมาตักชิมคำหนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มที่กว้างมากขึ้น
พระองค์วางช้อนลง จากนั้นก็ทอดถอนพระทัยออกมา “เจ้ามาหาข้าในเวลานี้มีเรื่องด่วนอันใดหรือไม่ ? ”
อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ แม้เผชิญกับสตรีอันเป็นที่รักก็ยังมิได้กลายเป็นบุรุษผู้โง่เขลาเบาปัญญาจนโดนหลอกได้ง่าย
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาถึงเพียงนี้ แม้หม่อมฉันอยากพูดอ้อมแต่ก็ยังไร้หนทางเพคะ” หลี่กุ้ยเฟยหัวเราะอย่างออดอ้อน จากนั้นก็กล่าวว่า “หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าเรื่องโรคระบาดนี้แปลกอยู่บ้างเพคะ”
“เมื่อวานต่อหน้าเหล่าขุนนาง หม่อมฉันมิสะดวกโต้แย้งคุณหนูใหญ่อัน แต่ฝ่าบาททรงไตร่ตรองนะเพคะ ตอนที่ท่านโหวอันเข้าวังก็กล่าวว่าสาวใช้เรือนคุณหนูใหญ่อันติดโรคระบาดจึงคิดว่าโรคต้องเกิดขึ้นที่อื่นแน่และได้เข้าวังเพื่อกราบทูลเช่นนั้น”
“ทว่าโรคระบาดนี้ไปเกิดขึ้นที่ฉู่โจว แล้วราษฎรในหมู่บ้านรอบ ๆ เมืองจิงก็ติดโรคระบาดเพียงเล็กน้อย นี่แทบมิเหมือนกับสิ่งที่ท่านโหวกล่าวในตอนแรก อีกอย่างคุณหนูใหญ่อันบอกว่าเห็นสูตรยาจากตำราโบราณ แต่ตำรานั้นก็หายไป เหมือนว่านางได้เตรียมถ้อยคำเหล่านี้มาก่อนแล้ว หม่อมฉันคิดอย่างไรก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ดีเพคะ”
นางกระซิบเบา ๆ ข้างพระกรรณของฮ่องเต้ คำที่นางกล่าวออกมาสามารถฆ่าคนได้เลยทีเดียว
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางทีหนึ่ง จากนั้นก็มีแววพระเนตรที่เป็นประกายจนอ่านมิออก “สนมรัก เมื่อวานเจ้ายังอยากให้คุณหนูใหญ่อันแต่งกับลูกเจ็ดอยู่เลย เหตุใดวันนี้มารู้สึกว่านางน่าสงสัยเสียแล้ว ? ”
“ฝ่าบาท เมื่อวานเป็นวันเลี้ยงฉลอง หม่อมฉันแม้สงสัยก็ต้องไว้พระพักตร์ฝ่าบาท มิอาจทำงานเลี้ยงพังไปได้ ถ้อยคำเหล่านี้หม่อมฉันทำได้แค่กล่าวส่วนตัวกับพระองค์เท่านั้นเพคะ” หลี่กุ้ยเฟยกลอกตาไปมา สีหน้าเหมือนแฝงการคำนึงถึงส่วนรวม
ฮ่องเต้เริ่มคล้อยตาม พระองค์กำลังจักตรัสทว่าได้ยินเสียงรีบร้อนดังมาจากด้านนอก “ทูลฝ่าบาท มีรายงานด่วนจากกองทัพเจิ้นเป่ยที่อยู่ห่างไป 800 ลี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฝูเชวียนตะโกนเสียงแหลมดังสะท้อนเข้ามาในห้องทรงพระอักษร
สีพระพักตร์ฮ่องเต้เคร่งเครียดขึ้นมาทันที “เร็ว รีบให้คนเข้ามา”
ทหารของกองทัพเจิ้นเป่ยที่ปกป้องชายแดนได้รายงานอย่างรวดเร็ว พวกเขาสงสัยว่าพบร่องรอยของทหารแคว้นชิงเยว่ ดูเหมือนพวกมันเตรียมเข้าโจมตีต้าโจวแล้ว
ชิงเยว่เป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ทว่าคนที่นั่นตัวสูงใหญ่และโหดเหี้ยม พวกมันถนัดเรื่องการปล้นชิง ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ร่วงก็จักมาก่อกวนราษฎรตามชายแดนเพื่อปล้นชิงทรัพย์สิน ยังมีการฆ่าคนเพื่อแย่งสตรี แม้แต่เด็กทารกยังมิเว้น !
ทว่าคนของแคว้นชิงเยว่จักก่อกวนชายแดนอย่างไรก็มิเคยโจมตีอย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน หรือกำลังเกิดเรื่องอันใดขึ้น ?
ฮ่องเต้คิดแล้วขมวดพระขนงแน่น “สายลับที่ข้าส่งไปแคว้นชิงเยว่ได้ส่งข่าวอันใดกลับมาหรือไม่ ? ”
ชิงเยว่เตรียมทหารเพื่อโจมตีต้าโจว แต่สายลับที่ส่งไปมิรายงานกลับมาเลย ! เหตุใดกองทัพเจิ้นเป่ยถึงส่งรายงานด่วนกลับมาแทน
ทหารที่มารายงานมีสีหน้าเศร้าโศก เขาก้มหน้าลง น้ำเสียงทุกข์ใจอย่างมาก “ทูลฝ่าบาท เมื่อพวกเขารับรู้ถึงความผิดปกติก็รีบส่งข่าวมาแล้ว แต่มิรู้เหตุใดจึงถูกคนของแคว้นชิงเยว่จับตัวได้และถูกเผาทั้งเป็นต่อหน้าทหารแสนนายในแคว้นชิงเยว่ ! ท่านแม่ทัพทราบข่าวจึงรีบส่งกระหม่อมมาเมืองจิง ขอฝ่าบาทมีคำสั่งให้เปิดสงครามด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จุดเชื่อมต่อของแคว้นชิงเยว่กับต้าโจวก็คือม่อเป่ย ฮ่องเต้เงียบไปทันที ครู่หนึ่งจึงได้ตรัสขึ้นว่า “ข้าจักให้อ๋องมู่นำทัพออกศึกเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าต้องสังหารจนพวกมันมิกล้าบุกเข้ามาอีก ! ”