พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 245 ภรรยาเอก
ตอนที่ 245 ภรรยาเอก
มู่จวินฮานขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงเก็บสายตากลับเมื่อเห็นสายลับล้มลง
ถึงตอนนี้อันอิงเฉิงจึงเดินออกมา “มู่ซื่อจื่อ คนผู้นี้ตายแล้ว เราจักตามสายลับคนอื่นได้อย่างไร ? ”
หากมิใช่เพราะสายลับคนนี้ปากไวและกลัวตาย พวกเขาก็คงมิรู้ว่าในเมืองจิงยังมีสายลับคนอื่นแฝงตัวอยู่ ซึ่งจักทำให้พวกตนมิทันได้เตรียมการป้องกัน
“คนพวกนั้นน่าจักมิปรากฏตัวออกมาแล้วขอรับ”
แววตาของมู่จวินฮานเข้มขึ้น “ตั้งแต่ตอนที่เราจับสายลับกลุ่มนี้ได้ สายลับคนอื่นที่ซ่อนตัวอยู่ก็คงทราบแล้ว”
สายลับที่สามารถซ่อนตัวอยู่ในเมืองจิงได้นานเพียงนี้โดยมิถูกคนพบเห็น แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ที่มีไหวพริบดีมากผู้หนึ่ง
กล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผล
อันอิงเฉิงถอนหายใจทีหนึ่ง “เมื่อครู่คนอื่นก็ได้ข้อมูลมาเช่นกัน ดูเหมือนว่าเรื่องโรคระบาดที่ถูกพวกเขาสร้างขึ้นจักเป็นเรื่องจริง”
มู่จวินฮานตอบ อืม มิรู้ว่าเหตุใดอยู่ ๆ ก็นึกถึงสูตรยาของอันหลิงเกอขึ้นมา
ตอนที่โรคระบาดยังมิเกิด อันหลิงเกอก็คาดเดาได้ว่าเรื่องนี้จักเกิดขึ้น นางยังเริ่มเตรียมต้มยาสมุนไพรไว้ พอโรคระบาดเกิดขึ้นจริงก็เอาสูตรยาออกมา โรคจึงถูกควบคุมไว้ได้อย่างรวดเร็ว
เขาเริ่มรู้สึกว่าการกระทำของอันหลิงเกอแปลกอยู่บ้าง ทว่ามิได้คิดมากไปกว่านั้น
แต่วันนี้เมื่อรู้ว่าโรคระบาดถูกสร้างขึ้นมา การกระทำของอันหลิงเกอจึงถือว่าแปลก
เหตุใดนางจึงรู้ว่ายานี้สามารถแก้พิษประเภทนั้นได้ ? นางรู้มาจากที่ใดว่าคนของแคว้นชิงเยว่จักวางยาราษฎร ?
ความสงสัยเหล่านี้ลอยฟุ้งอยู่ในหัวของมู่จวินฮาน มิอาจสลัดความคิดออกไปได้ เมื่อเทียบกับเรื่องแคว้นชิงเยว่ยกทัพโจมตีต้าโจวแล้วยังเครียดมากกว่าเสียอีก
ต่อหน้าอันอิงเฉิงแล้วมู่จวินฮานยังคงวางกลยุทธ์และมิได้มีท่าทีมิเหมาะสมแต่อย่างใด
อันอิงเฉิงผู้ที่ตกตะลึงกับข้อมูลที่ได้มา มิรู้สึกว่าอันหลิงเกอน่าสงสัยเพราะภายในใจของเขามีอยู่เรื่องเดียวคือต้องจับสายลับที่แอบแฝงอยู่เหล่านั้น เขาจึงมิสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของมู่จวินฮาน
“ในเมื่อสายลับเหล่านั้นยังมิปรากฏตัวขึ้นในระยะเวลาอันสั้น เช่นนั้นก็มิต้องไปสนใจอีกแล้ว” อันอิงเฉิงเข้าใจแล้ว เขาสั่งทหารเซินจีหยิงด้านข้าง “ข้าจักให้คนของหน่วยลาดตระเวนระวังเอาไว้ ขอเพียงรู้สึกถึงความผิดปกติก็ต้องให้คนรีบไปแจ้งซื่อจื่อ เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่ ? ”
มิรู้ตั้งแต่เมื่อใดที่อันอิงเฉิงติดนิสัยชอบถามความคิดเห็นของชายหนุ่มผู้นี้ก่อน เหมือนว่าหากได้รับการยืนยันจากมู่จวินฮานแล้วทุกอย่างย่อมราบรื่น
มู่ซื่อจื่อพยักหน้าแล้วซ่อนรายละเอียดที่แปลกไปเล็กน้อยบนสีหน้าเอาไว้ “ขอเพียงท่านโหวอันตัดสินใจก็พอขอรับ”
อันอิงเฉิงจึงโบกมือสั่งคนพาเหล่าสายลับไปประหาร จากนั้นจึงกล่าวลามู่จวินฮาน
เมื่อกลับถึงจวนอ๋องมู่แล้ว มู่จวินฮานก็เริ่มขยับพู่กันเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง เขาเขียนเร็วมากแต่ตัวอักษรที่เขียนกลับสวยงามยิ่งนัก ทุกตัวอักษรดูทรงพลังและเขียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากอาจารย์สอนเขียนพู่กันมาเห็นเข้าคงเอ่ยชื่นชมอย่างแน่นอน
ทว่าซูม่อที่ยืนอยู่ข้างมู่จวินฮานกลับมิมีแก่ใจชื่นชมลายมือของผู้เป็นนายเลยสักนิด เขามองเนื้อหาบนจดหมายแล้วแอบตะลึงอยู่ในใจลึก ๆ
ที่แท้โรคระบาดเกิดจากฝีมือมนุษย์ แคว้นชิงเยว่ทำเช่นนั้นช่างต่ำช้าเกินไปแล้ว !
มู่จวินฮานเขียนจดหมายเสร็จหนึ่งฉบับก็ใส่มันเข้าในซองแล้วปิดซองไว้อย่างมิดชิด จากนั้นจึงยื่นจดหมายให้ซูม่อ “นำจดหมายฉบับนี้ไปให้ท่านพ่อของข้า”
ซูม่อเก็บจดหมายเข้าในกระเป๋าแขนเสื้อและในขณะที่เขากำลังจักกล่าวบางสิ่งบางอย่างนั้น มู่จวินฮานก็วางพู่กันลงและเดินออกไปเสียก่อน
“นายท่านจักไปที่ใดหรือขอรับ ? ” ซูม่อเห็นสีหน้ามู่จวินฮานมิค่อยปกติจึงรีบตามไปถาม
มู่จวินฮานหยุดฝีเท้าแล้วเหลือบมองเขาทีหนึ่ง ซูม่อถึงกับเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
เขาหดคอแล้วหัวเราะแหะ ๆ “ข้าน้อยมิได้จักถามอันใดทั้งนั้น นายท่านไปทำธุระเถิดขอรับ ข้าน้อยจักไปส่งจดหมายให้ท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ในตอนนี้สิ่งที่มู่จวินฮานกำลังนึกอยู่ อันอิงเฉิงกลับมิรู้เลยสักนิด
อีกอย่างอันอิงเฉิงก็แยกกับมู่จวินฮานตั้งแต่ที่หน่วยเซินจีหยิงแล้ว เขากลับไปที่จวนโหวทันที
เขาเพิ่งดื่มชาไปหนึ่งถ้วย กลิ่นหอมของชาชั้นดีลอยอบอวลไปทั่วห้องโถงและรสชาติที่กลมกล่อมในปากก็ทำให้อันอิงเฉิงหรี่ตาอย่างสบายใจ ท่ามกลางหมอกควันที่ลอยอยู่นั้น เขากำลังนึกว่าจักทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้อย่างไรดี
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ส่งคนมาในตอนนั้นพอดี
คนที่มาคือสาวใช้ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่า นางมีรูปร่างที่เมื่อผู้คนเห็นแล้วต้องชอบเพราะนางมีคิ้วที่โค้งสวย มีใบหน้าอวบอิ่มและมุมปากเผยรอยยิ้มทำให้คนเห็นแล้วมีความสุข
ทว่าข่าวที่นางมาแจ้งมิได้ทำให้อันอิงเฉิงมีความสุขเลย
“เรียนนายท่าน ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาส่งข่าวเจ้าค่ะ”
สาวใช้คารวะอันอิงเฉิง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่านายท่านได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ ทำให้ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยและให้ความสำคัญ สิ่งนี้เป็นเรื่องดี เพียงแต่ต่อไปนี้ท่านต้องยุ่งมากกว่าเดิมแล้ว จวนโหวอันใหญ่โตของเราก็ต้องการผู้ที่เหมาะสมเพื่อมาควบคุมดูแลเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่อันอิงเฉิงกลับมาเมืองจิง ทิศทางลมในเมืองจิงก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว
วันนี้จวนโหวมิได้เสื่อมถอยและไร้อำนาจเฉกเช่นอดีต ในทางกลับกันคืออันอิงเฉิงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้จึงทำให้เขาขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง ดังนั้นในแต่ละวันจึงมีขุนนางมาเยือนที่จวนหลายคนทีเดียว
ทว่าฮูหยินใหญ่อันได้เสียชีวิตไปนานแล้ว อายุของฮูหยินผู้เฒ่าก็มากแล้วเช่นกันจึงมิอาจเครียดกับเรื่องต่าง ๆ ในจวนได้อีก
ส่วนอันหลิงเกอก็มีอายุมิมาก เดิมทีนางควรเรียนรู้งานบ้านงานเรือน แต่นางกลับร้องขอฮ่องเต้ไปเป็นหมอหญิงเสียแล้ว นางจึงมีเวลาอยู่ที่จวนน้อยมาก หากให้นางมาดูแลจวนโหวก็มิค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
เรือนหลังใหญ่ที่อันอิงเฉิงอยู่จึงเหลือเพียงหลี่ซื่อและเว่ยซื่อสองคนเท่านั้น ทว่าอันอิงเฉิงกำลังอยู่ในช่วงได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท หากให้อนุภรรยาคนใดคนหนึ่งมาดูแลจวนโหวแล้วข่าวกระจายไปถึงหูขุนนางต่าง ๆ พวกเขาอาจทูลฮ่องเต้ว่าอันอิงเฉิงไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ในการปกครองครอบครัว
หากฮ่องเต้เกิดมิพอพระทัยอันอิงเฉิงด้วยเหตุนี้แล้วยึดตำแหน่งและยึดสิทธิ์ในการครอบครองทหารของเขากลับไป เช่นนั้นศักดิ์ศรีในวันนี้ของจวนโหวก็คงมิเหลืออีกแล้ว
อนุสองและอนุสามมิได้อยู่ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่า แม้พวกนางสามารถช่วยดูแลจวนโหวได้บ้าง ทว่าท้ายสุดก็มิใช่ภรรยาเอก
เมื่อนึกแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องหาภรรยาเอกให้อันอิงเฉิงคนหนึ่ง
แม้ความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าจักมีเหตุผล ทว่าอันอิงเฉิงมิค่อยดีใจ
ดังนั้นสีหน้าที่มีความสุขแต่เดิมของเขาจึงจางหายไป แม้ใบหน้ามิได้ดูเคร่งขรึมแต่ก็มิดีนัก “เพราะเว่ยซื่อได้กล่าวอันใดกับท่านแม่หรือไม่ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเคยบอกเป็นนัยว่าให้อันอิงเฉิงยกเว่ยซื่อขึ้นเป็นภรรยาเอก ดังนั้นสีหน้าของอันอิงเฉิงจึงเปลี่ยนไป
สำหรับเขาแล้วเว่ยซื่อเป็นเพียงสาวใช้ที่ปีนขึ้นเตียงและนางก็มีอุบายลึกล้ำเกินไป เขาจึงมิชอบเลยสักนิด
หากมิใช่ว่าฮูหยินใหญ่อันใจอ่อนในตอนนั้นแล้วทนการรบเร้าของเว่ยซื่อมิได้ จึงตัดสินใจยกนางมาเป็นภรรยารอง มิเช่นนั้นเขาคงขับไล่เว่ยซื่อออกจากจวนไปนานแล้ว
สาวใช้ที่มาส่งข่าวก้มหน้าลง สีหน้าดูเคารพให้เกียรติ “นายท่าน ความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าคือให้ท่านหาภรรยาเอกเจ้าค่ะ”