พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 258 ถอย
ตอนที่ 258 ถอย
เรื่องการแต่งภรรยาเอกเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่ามิเคยกล่าวกับอันอิงเฉิงโดยตรงมาก่อน
ดังนั้นพอเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน อันอิงเฉิงจึงระงับความตกใจมิอยู่
“ท่านแม่ ทุกอย่างก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดต้องให้ลูกแต่งภรรยาเอกเข้ามาด้วยขอรับ ? ”
อันอิงเฉิงมิใช่บุรุษที่ลุ่มหลงในสาวงาม แค่ดูท่าทีรังเกียจที่เขามีต่อเว่ยซื่อก็เห็นได้ชัดแล้ว
แม้ว่าเขาลำเอียงให้หลี่ซื่อ แต่ส่วนใหญ่ก็เพราะความใจดีและภาพลวงตาที่นางสร้างขึ้น ทำให้อันอิงเฉิงรู้สึกว่านางเป็นสตรีที่งดงามและฉลาด
สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่ามืดครึ้ม “ทุกอย่างดีอยู่แล้วหรือ ? หากดีแล้วแม่จักโดนวางยาพิษได้อย่างไร ? ”
ถ้อยคำนี้ทำให้อันอิงเฉิงพูดมิออก ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยต่อ “ตอนนี้เจ้าได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทให้ครอบครองกองกำลังทหารสำคัญ ขุนนางที่ไปมาหาสู่ต่างก็เป็นผู้มีอำนาจ หากให้ผู้อื่นรู้ว่าในจวนโหวมีอนุเป็นผู้ดูแล พวกเขาต้องมองเป็นเรื่องตลกที่พวกเราให้อนุผู้ต่ำต้อยเยี่ยงหลี่ซื่อดูแลมิใช่หรือ ? “
สำหรับหลี่ซื่อ ถ้ากล่าวให้น่าฟังก็คือเจ้านาย หากกล่าวมิน่าฟังก็คือบ่าวครึ่งหนึ่ง มิถือเป็นเจ้านายอย่างสง่าผ่าเผยได้ ต่อหน้าครอบครัวที่สูงส่งย่อมมิสามารถยกนางออกหน้าออกตาได้
“แม่รู้ว่าจวนโหวของเรามิใช่ตระกูลที่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยเช่นนั้น ทว่านับตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นแรกของจวนได้ตีเอาแผ่นดินบ้านเมืองมา จวนโหวของเราก็ถือเป็นอันดับหนึ่ง มิอาจทำผิดหน้าที่แล้วลืมกฎระเบียบได้ ! ”
ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนอย่างหนักแน่น เมื่อเห็นอันอิงเฉิงเริ่มลังเลถึงได้เอ่ยอย่างจริงจังขึ้นมาว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้มิเหมือนเมื่อก่อน หากเจ้าถูกศัตรูในราชสำนักนำจุดอ่อนขึ้นไปฟ้องร้องต่อฝ่าบาท หากฝ่าบาทเฉยเมยต่อเจ้าและยึดอำนาจทหารในมือกลับไป แล้วจักทำอย่างไร ? ”
“เป็นไปมิได้ขอรับ” อันอิงเฉิงเม้มปากแน่น “มีหลี่กุ้ยเฟยอยู่ ฝ่าบาทคงมิเชื่อคำนินทาเหล่านั้นหรอก”
“ความสัมพันธ์ทางหลี่กุ้ยเฟยนั้นสามารถพึ่งพิงได้หรือไม่ยังกล่าวยาก” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเย็นแล้วหันไปมองอันหลิงเกอ “เกอเอ๋อ เจ้าบอกมาสิว่าเมื่อครู่หลี่ซื่อกล่าวอันใดไว้บ้าง ? ”
อันหลิงเกอตอบรับแล้วเล่าคำที่หลี่อี๋เหนียงยกหลี่กุ้ยเฟยมาข่มขู่ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหมด
อันอิงเฉิงมองหลี่ซื่ออย่างมิอยากเชื่อ เขานึกมิถึงว่าคำข่มขู่ฮูหยินผู้เฒ่าเหล่านั้นจักออกมาจากปากของนาง !
หลี่ซื่อมีความกังวลวาบผ่านแววตา นางสามารถเอ่ยคำนั้นต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าได้ก็เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ามิชอบนางอยู่แล้ว แม้นางพูดดีหรือไม่ก็มิเกิดผลดีหรอก
การนำหลี่กุ้ยเฟยมากล่าวก็เพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่า*ลูบหน้าปะจมูก มิกล้าลงมือต่อนางก็เท่านั้น
แต่หากคำเหล่านั้นเข้าหูท่านโหวแล้ว ภาพลักษณ์ที่นางเพียรสร้างมาหลายปีนี้มิต้องพังหมดหรือ ?
นางถูกฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจแล้ว นางมิสามารถสูญเสียความโปรดปรานจากท่านโหวได้อีก !
“ท่านพี่ ข้าไร้วิธีอื่นแล้วจึงเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อกัดริมฝีปาก นางก้มหน้าลงแล้วแสร้งทำท่าทางอับจนหนทางยิ่งนัก
“ตอนที่ท่านแม่ใช้กฎจวนลงโทษข้า ข้าต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงนานทีเดียว ข้าแค่กลัวท่านแม่ลงโทษเหมือนครั้งก่อน ดังนั้นจึงต้องยกน้องหญิงมาแกล้งขู่ ข้ามิได้อยากข่มขู่ท่านแม่จริง ๆ เจ้าค่ะ”
นางจงใจเอ่ยเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษในครั้งนั้นเพื่อทำให้อันอิงเฉิงเห็นใจ
ครั้งนั้นเป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า พวกเขามิมีหลักฐานแต่ก็ลงโทษหลี่ซื่อไปแล้ว
แต่นั่นคือวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซื่อเสียเปรียบก็แล้วไป แม้อันอิงเฉิงรู้ว่านางได้รับความลำบากก็มิสามารถกล่าวอันใดได้
แต่ครั้งนี้แตกต่าง หลี่ซื่อมิยอมให้ฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษนางเด็ดขาด !
อันอิงเฉิงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แววตาของเขาจึงแฝงไปด้วยความเห็นใจตามคาด
เขากำลังจักกล่าว แต่อันหลิงเกอเร็วกว่า ริมฝีปากงดงามคลี่ยิ้มกว้าง ความหมายของรอยยิ้มทำให้คนรู้สึกถึงความเหน็บหนาวขึ้นมา
“หลี่อี๋เหนียง ตอนนี้เรากำลังคุยเรื่องที่ท่านลอบทำร้ายท่านย่า ท่านเอาแต่ดึงเรื่องโน้นเรื่องนี้มาอ้าง จงใจเปลี่ยนเรื่องมิให้พวกเราเอาผิดท่านต่อใช่หรือไม่? ”
เว่ยซื่อรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหลี่ซื่อเสียเปรียบ นางเห็นว่าอันหลิงเกอกล่าวแล้วก็อดเสริมมิได้ “ใช่ เรื่องนี้ถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว เจ้ายังมิยอมรับอีก หนังหน้าช่างหนาเกินไปแล้ว”
เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงบอกว่ามิปลดหลี่ซื่อออก แต่มิได้บอกว่าจักมิลงโทษ
ตอนนี้หลี่ซื่อจึงเข้าใจความหมายแท้จริงของฮูหยินผู้เฒ่า สีหน้านางจึงซีดขึ้นมาทันที
แต่มิว่าหน้าซีดเพียงใด ฮูหยินผู้เฒ่าก็ปักใจเชื่อว่านางคือคนร้ายไปแล้ว
“หลี่ซื่อ ข้าจักถามเจ้าคำเดียวว่าเรื่องวันนี้เจ้าเป็นคนทำหรือไม่ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าใช้สายตาคมปราดราวกับปลายมีดจ้องหลี่ซื่อเหมือนสามารถมองทะลุทุกอย่างได้
หลี่ซื่อตัวสั่น คำปฏิเสธมาถึงริมฝีปากนางแล้วกลับถูกกลืนลงไป
หากนางปฏิเสธออกมาตอนนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องเอาเรื่องนางถึงที่สุด หากฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนไปนำตัวเถ่าหงกลับมาแล้วลงโทษอย่างหนัก ยากที่จักมิให้เถ่าหงสารภาพอันใดออกมา
เมื่อนึกได้ดังนั้น หลี่ซื่อจึงหลุบตาลงแล้วกล่าวอย่างเสียใจ “หากท่านแม่คิดว่าใช่ เช่นนั้นก็ใช่เจ้าค่ะ ในเมื่อพวกท่านมิได้อยากสืบหาความจริงแล้วเหตุใดข้าต้องเหนื่อยใจด้วย ? ”
นางกำลังสื่อว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิอยากตรวจสอบความจริง เพียงอยากฉวยโอกาสนำเรื่องนี้มากำจัดนาง อันหลิงเกอฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้ว
หากบอกว่าหลี่อี๋เหนียงมิยอมรับผิด ทว่าก็มิได้ต่อต้านคำของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ถ้าบอกว่านางยอมรับผิดแล้วกลับมิได้ยอมรับอย่างชัดเจน หากฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษก็มิอาจลงโทษอย่างสง่าผ่าเผยและมิสามารถลงโทษอย่างโหดร้ายได้
โดยเฉพาะ…
อันหลิงเกอกลอกตา ดวงตาสีดำจ้องอันอิงเฉิงเพราะเกรงว่าหลังจากที่หลี่อี๋เหนียงถูกลงโทษ ท่านพ่อก็ยังมิคิดว่านางอำมหิตคิดสังหารผู้อาวุโสอยู่ดี มิแน่ หลี่อี๋เหนียงอาจจดจำแค้นครั้งนี้ไว้และสร้างความลำบากให้ฮูหยินผู้เฒ่าในครั้งหน้าก็ได้
เจ้าเล่ห์เสียจริง
อันหลิงเกอเม้มปากแน่น แววตามีประกายเย็นเยือกวาบผ่าน
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิได้คิดมากถึงเพียงนั้น นางได้ยินคำที่กล่าวออกมาของหลี่ซื่อจึงคิดว่าในที่สุดก็ยอมรับผิดเสียที นางจึงยิ้มออกมาเพียงแต่รอยยิ้มนั้นมิมีความอบอุ่นใด ๆ
“ในเมื่อเจ้ายอมรับผิด ข้าจักมิกล่าวไร้สาระกับเจ้าอีก” นางโบกมือให้จินหลิง “เดิมทีเจ้าเปลี่ยนตัวยาจนเกือบทำข้าเสียชีวิต ข้าควรไล่สตรีใจอำมหิตเช่นเจ้าออกไป”
“แต่ถึงที่สุดแล้วเจ้าก็เคยทุ่มเทเพื่อจวนของเรา โหวอันก็ผูกพันกับเจ้า ข้าจึงให้เจ้าอยู่ในจวนต่อได้”
นางกล่าวแล้วหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นกระซิบไปที่ข้างหูของจินหลิง อีกฝ่ายจึงค้อมตัวแล้วถอยไป
ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าสายตาที่จ้องหลี่ซื่อราวกับมีไฟสุมอยู่ในนั้น “แต่เจ้าจักอยู่ในจวนได้ก็ต่อเมื่อเดินออกจากเรือนนี้ได้ก่อน”
…
*ลูบหน้าปะจมูก คือ ทำอะไรเด็ดขาดจริงจังไม่ได้เพราะเกรงใจหรือเห็นแก่พวกพ้อง