พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 260 ลำเอียง
ตอนที่ 260 ลำเอียง
เมื่อได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิเป็นอันใดแล้ว ปี้จูและหมิงซินถึงได้โล่งอก
“ว่าแต่คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินหมิงจูให้คนส่งเทียบเชิญมา ดูเหมือนว่าเชิญท่านออกไปเดินเล่นเจ้าค่ะ”
ปี้จูรายงานและนำเทียบเชิญออกมาจากโต๊ะด้านข้าง
บนเทียบเชิญเขียนตัวอักษรด้วยหมึกสีดำเลี่ยมทอง มีลายดอกไม้ประดับอย่างงดงามหรูหรา เห็นได้ชัดว่าคนที่ออกเทียบเชิญนี้ค่อนข้างใส่ใจพอสมควร
เมื่ออันหลิงเกอเปิดเทียบเชิญอ่าน ตัวอักษรที่งดงามก็ปรากฏสู่สายตาทันที
เป็นเทียบเชิญที่มาจากซินเจียวเจียว
ริมฝีปากของนางจึงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางได้รับเทียบเชิญจากจวนฮูหยินหมิงจู ครั้งก่อนเป็นงานฉลองที่ฮูหยินหมิงจูตามหาบุตรสาวพบ งานนั้นได้เชิญตระกูลผู้มีชื่อเสียงในเมืองจิงเข้าร่วมมิน้อย นางในฐานะบุตรีคนโตของจวนโหวจึงได้เข้าร่วมเช่นกัน
ส่วนครั้งนี้ แม้เป็นเทียบเชิญที่มาจากฮูหยินหมิงจูเช่นกัน ทว่ามีซินเจียวเจียวเขียนมานัดหมายให้นางออกไปเดินเล่น
ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูร้อน ดอกบัวในทะเลสาบกำลังเบ่งบานพอดี ซินเจียวเจียวจึงอยากออกไปเที่ยวเล่น ทว่าเพิ่งกลับมาเมืองจิงได้มิกี่เดือนจึงมิมีสหายที่ใด คิดแล้วสตรีทั่วทั้งเมืองจิงนี้ก็มีแต่อันหลิงเกอผู้เดียวที่คุ้นเคยกับนางที่สุด
อันหลิงเกอรับเทียบเชิญไว้แล้วให้หมิงซินตอบกลับซินเจียวเจียว จากนั้นจึงเริ่มตรวจสอบเรื่องขมิ้นที่อยู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมา
แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ายอมมิเอาเรื่อง แต่อันหลิงเกอก็ยังอยากได้หลักฐานที่เป็นจริงอีกสักหน่อย ตัวอย่างเช่นคนที่หลี่อี๋เหนียงสั่งไปซื้อขมิ้นหรือพยานหลักฐานที่สามารถชี้ว่าหลี่อี๋เหนียงคือผู้ร้ายที่ลอบวางยาพิษฮูหยินผู้เฒ่า
ตอนนี้หลี่ซื่อได้รับการลงโทษแล้ว ทว่าอันอิงเฉิงยังนึกว่านางถูกกลั่นแกล้งจนต้องแบกรับความผิดเอาไว้ มิเพียงมิรังเกียจนาง เขากลับอยากปกป้องมากขึ้นกว่าเดิม
เช่นนี้มิดีแน่นอน
อันหลิงเกอหลุบตาลง ขนตายาวราวกับพัดบดบังประกายตาลึกล้ำดุจมหาสมุทรเอาไว้
“คุณหนู ให้บ่าวไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของเรือนฮูหยินหลี่ดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
หมิงซินเห็นสีหน้าอันหลิงเกอเคร่งขรึมจึงรู้ว่าอีกฝ่ายยังนึกถึงเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าโดนวางยาพิษอยู่
อันหลิงเกอพยักหน้า ใบหน้าขาวเนียนถูกเงาของหน้าต่างบดบังจนเกิดเป็นเงาสีดำสั่นไหวไปมาเล็กน้อย นางโบกมือเรียกหมิงซินเข้ามาตรงหน้า จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปกระซิบบางอย่างข้างหูหมิงซิน
……
ด้านหนึ่งเจ้านายและสาวใช้กำลังสนทนากันเพื่อหารือเรื่องสืบค้นหลักฐาน ส่วนอีกด้านหนึ่งอันหลิงเฉว่และเจิ้งซื่อก็มิได้อยู่นิ่งแต่อย่างใด
“ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าโดนลอบวางยาพิษ”
เจิ้งซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางดื่มชาอย่างมิรีบร้อน ใบหน้ามิดูเป็นห่วงฮูหยินผู้เฒ่าแม้แต่น้อย
อันหลิงเฉว่คุ้นเคยกับท่าทางเช่นนี้ของนางแล้ว เพียงแต่แววตาเริ่มกังวลขึ้นมา “แล้วตอนนี้ท่านย่าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ? ”
“มิต้องกังวล มีคุณหนูใหญ่ที่เก่งถึงเพียงนั้นอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าจักเป็นอันใดไปได้ ? ” เจิ้งซื่อเอ่ยเพียงประโยคเดียว น้ำเสียงแยกแยะมิออกว่าเยาะเย้ยหรือไม่ ปฏิกิริยาของนางช่างมิเหมือนการถ่อมตนในยามปกติ
เมื่อเอ่ยถึงอันหลิงเกอ อันหลิงเฉว่ก็มีสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมาทันที
หากมิใช่เพราะอันหลิงเกอ นางคงมิถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษและมิต้องถูกแม่นมผู้เข้มงวดจากวังหลวงสั่งสอนทุกวัน เพียงทำเรื่องอันใดมิถูกเล็กน้อยก็โดนตำหนิเสียยกใหญ่
แม่นมผู้นั้นเป็นคนของไทเฮา ดังนั้นนางจึงมิกล้าทำอันใดใส่อีกฝ่าย ได้แต่อดทนกล้ำกลืนความโกรธไว้ในท้องแล้วทำตามการฝึกฝน เรียนรู้มารยาทระเบียบจากแม่นม
นางกำมือแน่นอย่างโมโห แววตาดุร้าย “หากมิใช่ท่านย่ามีคำสั่งห้ามลูกออกไปไหน ลูกจักมิปล่อยให้อันหลิงเกอได้หน้าได้ตาแน่”
“เฉว่เอ๋อ เจ้ายังมิเข้าใจอีกหรือ ? ” เจิ้งซื่อถอนหายใจทีหนึ่ง นางดูมิค่อยพอใจขณะเอ่ยประโยคนี้ “ฮูหยินผู้เฒ่าเดิมก็ลำเอียงต่อฝั่งเรือนใหญ่อยู่แล้ว คนของเรือนใหญ่ได้รับสืบทอดตำแหน่งโหว ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงกลัวพี่น้องขัดเคืองกันจึงพาท่านพ่อของเจ้าและท่านลุงกลับไปที่เรือนบรรพบุรุษ ตอนนั้นก็กินเวลานับสิบกว่าปีได้”
นางหยุดไปสักพักและเริ่มโทษฮูหยินผู้เฒ่าต่อหน้าอันหลิงเฉว่อย่างมิปิดบัง “หากมิใช่เพราะอันหลิงห่าวของเรือนสองต้องเข้ามาสอบรับราชการ ฮูหยินผู้เฒ่าก็คงมิพาพวกเรากลับเมืองจิง”
“เจ้าดูสิ เพื่อคนของเรือนใหญ่ นางถึงขั้นยอมไปใช้ชีวิตที่เรือนบรรพบุรุษ และเพื่อคนของเรือนสอง นางถึงขั้นยอมนั่งรถม้าอย่างเหน็ดเหนื่อยย้ายกลับมา ทว่าคนจากเรือนสามอย่างเรามิมีพื้นที่ในใจนางเลย”
อันหลิงเฉว่เติบโตอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า พอฟังเจิ้งซื่อเอ่ยเช่นนี้แล้ว นางจึงเริ่มรู้สึกมิพอใจขึ้นมาบ้าง
“ท่านแม่ ท่านมีอคติต่อท่านย่ามากไปแล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเฉว่เอ่ยเพียงคำเดียวก็เห็นเจิ้งซื่อกระแทกถ้วยชาในมือลงโต๊ะ มุมปากเผยรอยยิ้มหยัน
“แม่มีอคติต่อฮูหยินผู้เฒ่าหรือ ? ” แววตาของนางมีความเย้ยหยันและโกรธเกรี้ยว นางชี้มือไปที่อันหลิงเฉว่ “เจ้าดูคนของเรือนใหญ่สิว่ามีศักดิ์ศรีเพียงใด ท่านลุงของเจ้าครอบครองหน่วยเซินจีหยิงอย่างสง่าผ่าเผยไร้ขอบเขต คุณหนูใหญ่ก็ถูกฝ่าบาทแต่งตั้งเป็นหมอหญิง จักเข้าออกวังเมื่อไรก็ได้ แล้วเจ้าดูเรือนสองนั่นสิ อันหลิงห่าวได้ร่วมสอบประจำฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีก่อน ตอนนี้กลายเป็นขุนนางขั้นหกไปแล้ว”
ปีนี้อันหลิงห่าวยังเป็นเยาวชนอายุน้อยเท่านั้น แต่เขาสามารถเป็นขุนนางขั้นหกได้ ทั้งต้าโจวจึงถือว่าหายากยิ่ง
เจิ้งซื่อรู้ว่าอันหลิงห่าวเป็นคนเก่ง แต่ทั่วทั้งราชอาณาจักรนี้ยังมีคนเก่งอีกมากมาย แล้วเหตุใดต้องมีแค่อันหลิงห่าวที่ได้เป็นขุนนางขั้นหกตั้งแต่อายุยังน้อย ?
ต่อให้ทุบตีนางจนตาย นางก็มิเชื่อว่าในนั้นมิมีคนลงมือช่วยเหลืออันใดเลย
ส่วนอันอิงหาวของเรือนสองที่หมกมุ่นในกาม มิตั้งใจทำงานให้ดี หวังซื่อก็มิรู้จักใครในราชสำนัก คนที่ทำให้อันหลิงห่าวได้ตำแหน่งทางราชการก็ต้องเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าแน่นอน
เจิ้งซื่อแต่งงานเข้ามาที่นี่นานสิบกว่าปียังมิเคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าทำเรื่องอันใดเพื่อพวกนางเลย ความมิพอใจที่สะสมมานานหลายปีจึงกลายเป็นความเกลียดชังขึ้นมา
อันหลิงเฉว่เองก็เหมือนว่าถูกมารดาพูดจนรู้สึกคล้อยตาม นางเพียงเม้มปากทว่ามิได้เอ่ยคำต่อต้านประการใด
นางลังเลชั่วครู่ก็เอ่ยถามว่า “ท่านแม่ เราต้องส่งคนไปดูท่านย่าหรือไม่เจ้าคะ ? ”
แม้เจิ้งซื่อมิพอใจต่อฮูหยินผู้เฒ่ามากเพียงไร ทว่าภายนอกก็ยังต้องปฏิบัติดีอย่างมิอาจละเว้น
เจิ้งซื่อพยักหน้าแต่ก็เผยความมิชอบใจออกมาก่อนจักกล่าวว่า “หากคุณหนูใหญ่ไปช้าอีกสักหน่อยคงดีมาก เพราะน้ำซุปที่ฮูหยินผู้เฒ่าทานก็ทำตามใบสั่งยาของนาง”
หากวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าโชคร้ายเสียชีวิตไป สำหรับเจิ้งซื่อถือเป็นโอกาสในการกำจัดคนน่ารังเกียจทั้งสองในคราวเดียว
น่าเสียดายจริง ๆ
อันหลิงเฉว่ขมวดคิ้ว “แต่อันหลิงเกอแก้พิษในตัวท่านย่าได้ เรื่องนี้โยงไปมิถึงตัวนางแล้วเจ้าค่ะ”
“ก็มิแน่หรอก”
เจิ้งซื่อยิ้มอย่างแปลกประหลาดออกมา ริมฝีปากสีแดงเอ่ยถ้อยคำเรียบง่ายแต่ทำให้อันหลิงเฉว่ถึงขั้นตาโตจนฝ่ามือชื้นเหงื่อเพราะความตื่นเต้นมากเกินไป