พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 268 ร่วมมือ
ตอนที่ 268 ร่วมมือ
“จริงสิ วันนี้เหตุใดท่านถึงมาที่นี่เจ้าคะ?”
อันหลิงเกอเอ่ยถามและก็นึกถึงไป๋หลี่เฉินที่โดนส่งตัวให้ทางราชการขึ้นมา ตอนที่นางพบพวกเขาในวังก็คล้ายได้ยินรัชทายาทตรัสว่าจักให้มู่จวินฮานและไป๋หลี่เฉินประลองกันว่าฝีมือยิงธนูของผู้ใดเก่งกาจกว่ากัน
ไป๋หลี่เฉินเพิ่งถูกนำตัวไป มู่จวินฮานก็มาหาทันที วันนี้เรือนของนางช่างคึกคักเสียจริง
เมื่อเห็นอันหลิงเกอที่อยู่ตรงหน้ามีรอยยิ้มแต้มมุมปาก มู่จวินฮานจึงมิได้ปิดบังอันใด “หนึ่งเพราะเรื่องแคว้นชิงเยว่ พวกสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงถูกข้าและท่านโหวอันจับได้ หลังได้ความจากปากพวกมัน ข้าจึงอยากมาถามเจ้าให้กระจ่าง แต่ก็ยุ่งอยู่ตลอดจนบังเอิญได้พบเจ้าในวังหลวงพอดีจึงอยากมาหาเจ้าเช่นนี้”
“แล้วข้อที่สองล่ะเจ้าคะ ? ”
เรื่องแคว้นชิงเยว่เขาได้กล่าวถึงแล้ว แต่อีกเรื่องคืออันใดกัน ?
มู่จวินฮานหลุบตาลง นัยน์ตาสีดำสะท้อนใบหน้าของหญิงสาวที่งดงาม
“อีกเรื่องเกี่ยวข้องกับอันผิงกงจู่” เมื่อเขากล่าวถึงอันผิงกงจู่ ภายในดวงตาก็ฉายแววแห่งความชิงชังขึ้นมาครู่หนึ่ง
เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที นางมิเคยมีอันใดเกี่ยวข้องกับอันผิงกงจู่ เหตุใดวันนี้อีกฝ่ายกลับแสร้งประชวรแล้วเรียกนางเข้าวัง ทั้งยังให้นางวางแอปเปิ้ลไว้บนศีรษะเพื่อเล่นยิงธนูนั่นอีก เห็นได้ชัดว่าต้องการให้นางอับอาย หรือที่มู่จวินฮานจักกล่าวเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ?
ขณะที่อันหลิงเกอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น มู่จวินฮานก็กล่าวขึ้นว่า “มีคนไปรายงานอันผิงกงจู่ว่าลู่จ้านชอบพอในตัวเจ้า นางจึงรู้สึกริษยาและลงมือกับเจ้าเช่นนี้”
สายลับของเขาที่แฝงตัวอยู่ในวังสืบได้เพียงว่ามีนางกำนัลนำเรื่องพวกนี้ไปทูลอันผิงกงจู่ ส่วนนางกำนัลผู้นั้นเป็นใครกลับสืบหามิพบ
อันหลิงเกอรู้สึกตกตะลึงแล้วนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็หัวเราะออกมา
คิดให้ดีแล้วนางกับลู่จ้านเคยพบกันมิกี่ครั้ง ครั้งแรกบนถนนตอนที่นางแต่งกายเป็นบุรุษ ตอนนั้นเกรงว่าลู่จ้านคงมิรู้จักนางด้วยซ้ำ อีกครั้งคือตอนที่พวกนางเจอโจรภูเขา พวกโจรที่มีพฤติกรรมแปลก ๆ และมีที่มาที่ไปมิชัดเจนเหล่านั้นทำให้นางสงสัยมาตลอดว่าอาจเป็นพวกที่หลี่ซื่อจ้างมา
น่าเสียดายที่โจรภูเขาพวกนั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก หลังจากหลบหนีไปก็มิพบร่องรอยอันใดอีกเลย แม้หน่วยลาดตระเวนส่งคนออกตามล่าพวกมัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังมิสามารถจับตัวได้เลย
มิว่าอย่างไรตอนนั้นถ้ามิได้ลู่จ้านมาช่วยไว้ นางคงต้องตายด้วยน้ำมือโจรภูเขาแน่นอน แม้แต่จุนเกอร์เอ๋อก็คงมิรอดด้วย ดังนั้นนางจึงจดจำไว้เสมอว่าลู่จ้านคือผู้มีพระคุณ
แต่เหตุใดจึงมีคนเข้าใจผิดว่าลู่จ้านชอบนาง นี่มันออกน่าขันเกินไปหน่อยกระมัง ?
มู่จวินฮานจ้องมองรอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลิงเกอด้วยความหึงหวงจึงตั้งใจกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังน่ากลัว “พอได้ยินว่าลู่จ้านชอบเจ้า เจ้ามีความสุขนักหรือไร ? ”
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมิพอใจ คนที่ตนรักกลายเป็นที่ปรารถนาของคนอื่น ราวกับอัญมณีที่รักถูกคนจับจ้องตลอดเวลา ช่างเป็นความรู้สึกที่แย่เสียจริง
แต่อันหลิงเกอยิ้มจนตาหยี นางหัวเราะพลางอธิบาย “มิใช่เจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง เพียงแต่ท่านแม่ทัพน้อยลู่เคยช่วยข้าไว้ครั้งหนึ่ง”
ทันทีที่คำนี้หลุดออกมา สีหน้าของมู่จวินฮานก็เข้มขึ้น
วีรบุรุษช่วยสาวงามเอาไว้ ต่อไปหากต้องพลีกายมอบทั้งชีวิตเพื่อตอบแทนก็คงมิแปลกอันใด
เขากัดฟันแล้วกล่าวออกมา “อย่าบอกว่าท่านโหวจักยกเจ้าให้ลู่จ้าน”
หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจักวางแผนให้ลู่จ้านถูกย้ายไปทำศึกที่ชายแดนเดี๋ยวนี้เลย เรื่องอันใดมาคอยจ้องมองว่าที่ภรรยาของเขาเยี่ยงนี้
มู่จวินฮานมิเคยรู้สึกว่าลู่จ้านน่ารำคาญเท่าตอนนี้มาก่อน รำคาญจนอยากให้คนผู้นี้หายตัวจากเมืองหลวงไปเลย
ท่าทีหึงหวงของเขาช่างไร้เดียงสาและดื้อรั้นราวกับเด็กน้อย เขาแทบอยากปิดป้ายชื่อตนเองลงบนตัวของคนที่รักและมิอนุญาตให้ผู้ใดมาสนใจ
เมื่อเห็นเช่นนั้นอันหลิงเกอก็เม้มปากแล้วยิ้มออกมา รู้สึกว่าท่าทางเหมือนเด็กเช่นนี้ช่างน่ารักอย่างคาดมิถึง
ท่าทางโกรธงุ่นง่านของมู่จวินฮานทำให้อันหลิงเกอหุบยิ้ม แต่ดวงตายังคงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้ากับเขามิได้สนิทกันแล้วมิได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าเรื่องที่ลู่จ้านชอบก็เป็นเรื่องน่าขันเสียมากกว่าเจ้าค่ะ”
คนที่พบหน้ากันเพียงแค่สองครั้งจักมาชอบกันได้อย่างไร ?
มิได้เหมือนในนิทานที่บัณฑิตยากจนและคุณหนูตระกูลใหญ่บังเกิดรักแรกพบหรอก
มู่จวินฮานส่งเสียง หึ ออกมาเบา ๆ เขารับฟังคำอธิบายอย่างมิค่อยสบอารมณ์นัก “ข้าจักเชื่อเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน”
ท่าทางเช่นนี้ช่างดูเด็กน้อยเหลือเกิน รอยยิ้มที่อันหลิงเกอกลั้นไว้ก็เผยให้เห็นอีกครั้ง มุมปากยกขึ้นสูงแล้วได้เห็นมู่จวินฮานถลึงตาใส่ บนใบหน้ามีร่องรอยเขินอายปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมู่ซื่อจื่อที่เชื่อว่าข้าน้อยบริสุทธิ์” อันหลิงเกอกระแอมไอหนึ่งทีเพื่อซ่อนรอยยิ้มไว้ “ว่าแต่เหตุใดจึงมีคนไปกล่าวเรื่องแม่ทัพน้อยลู่ชอบข้ากับอันผิงกงจู่ได้เจ้าคะ ? ”
แม้บอกว่าต้าโจวใส่ใจเรื่องจริยธรรมของสตรี ดังนั้นสตรีทั้งหลายต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ตอนนี้ถือว่ามีความเปิดกว้างกว่าราชวงศ์ก่อนมาก สตรีที่สารภาพรักกับบุรุษก่อนอย่างที่อันผิงกงจู่เคยสารภาพกับลู่จ้านก็มีมิน้อย
อันหลิงเกอย่อมรู้ดีว่าอันผิงกงจู่คิดเช่นไรกับลู่จ้าน ดังนั้นจึงยิ่งแปลกใจว่าเหตุใดผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องยุยงเพื่อยืมมืออันผิงกงจู่มาทำร้ายตนด้วย
“ข้าเองก็ยังมิรู้เช่นกัน”
ท่าทางของมู่จวินฮานนิ่งขรึม คนที่อยู่เบื้องหลังสามารถยื่นมือเข้าไปในวังได้ต้องเป็นคนที่มีอำนาจมิน้อย มีคนเช่นนี้ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดแล้วหวังทำร้ายอันหลิงเกอก็เหมือนงูพิษตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืด เพียงแค่รอเวลาแว้งกัดและยากที่จักป้องกัน
เมื่อนึกเช่นนี้คิ้วของมู่จวินฮานก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พลางนึกถึงค่ายกลที่ยังมิได้ซ่อมแซมเหล่านั้น “ค่ายกลที่เจ้าวางไว้ก็ถือว่ามิเลว แต่ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง”
หากคนที่มามีวรยุทธ์สูงส่งและคิดเอาชีวิตอันหลิงเกอก็เกรงว่านางคงไร้โอกาสที่จักวางยาคนผู้นั้นได้
มิรู้เหตุใดเมื่อได้ฟังว่าชาติก่อนอันหลิงเกอต้องตายตั้งแต่อายุ 17 ปี ภายในใจของมู่จวินฮานก็มีความรู้สึกราวกับว่ามีหลายคนกำลังแอบมองนางอย่างลับ ๆ เพื่อหวังเอาชีวิตนางอย่างไรอย่างนั้น
ความคิดนี้ช่างแปลกประหลาดและยากอธิบายจนมู่จวินฮานรู้สึกกลัวขึ้นมา กลัวว่าจักเกิดอันใดขึ้นกับสตรีนางนี้
“ข้างกายเจ้าขาดสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ รอข้ากลับไปคัดเลือกจากเหล่าองครักษ์เงาแล้วจักส่งมาให้เจ้า”
หากมีคนอาศัยโอกาสที่อันหลิงเกอมิทันระวังเพื่อเข้าใกล้นางและตั้งใจทำร้ายนาง ต่อให้ฝีมือแพทย์และการยิ่งธนูดีเพียงใดก็ไร้ประโยชน์
อันหลิงเกอเดิมคิดปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงชาติก่อนที่ปี้จูต้องตายโดยมิรู้เรื่องรู้ราว คำปฏิเสธเหล่านั้นจึงค้างอยู่แค่ในลำคอ
หากในเวลานั้นคนที่อยู่ข้างกายนางมิใช่ปี้จูแต่เป็นสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ มิแน่ว่านางและปี้จูอาจยังมิตายก็ได้
บทเรียนเช่นนี้ พบเจอแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนั้นบทเรียนยังคลุกเคล้าไปด้วยเลือดและความเกลียดชัง ความผิดพลาดเช่นนี้นางจักมิทำให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน
“ได้เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอตอบรับอย่างง่ายดาย แม้เป็นเพียงแค่คำกล่าวง่าย ๆ แค่คำเดียวแต่แสดงให้เห็นถึงความไว้ใจที่นางมีต่อมู่จวินฮาน
เพราะไว้ใจจึงยอมให้มู่จวินฮานส่งสาวใช้มาอยู่ข้างกายและมิต้องกังวลว่าทุกการเคลื่อนไหวของตนจักมีคนคอยจับตามอง