พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 27 กุ้ยเฟยเรียกพบ
ตอนที่ 27 กุ้ยเฟยเรียกพบ
หลี่ซื่อคิดไปเองว่าที่อันอิงเฉิงมีท่าทางนิ่งขรึม นั่นเป็นเพราะอันอิงเฉิงเองก็มิอยากให้อันหลิงอี แต่งเข้าจวนอ๋องอี้เช่นกัน แต่คาดมิถึงว่าอันอิงเฉิงที่ไตร่ตรองเพียงครู่เดียวกลับกล่าวขึ้นมาว่า “ให้อีเอ๋อแต่งเข้าจวนอ๋องอี้ก็มิได้เลวร้ายขนาดนั้น”
อันอิงเฉิงยกเอาคำกล่าวของหลี่ซื่อที่ก่อนหน้านี้ขึ้นมาเอ่ย
“เจ้ากล่าวเองมิใช่เหรอว่าจวนอ๋องอี้นั้นร่ำรวยมหาศาล หากอีเอ๋อได้แต่งเข้าจวนอ๋องอี้แล้วล่ะก็ ในอนาคตภายภาคหน้าคงมิลำบากอย่างแน่นอน”
มันจะเหมือนกันได้เยี่ยงไร !
เมื่อหลี่ซื่อได้ฟังคำกล่าวก็ได้แต่เก็บความรู้สึกโมโหเอาไว้ภายในใจ จนแทบจะกระอักเลือดออกมา อีเอ๋อของนางถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก ราวกับเกิดมาเพื่อจะได้แต่งงานกับมู่จวินฮานยังไงอย่างงั้น แล้วจะให้มาแต่งงานกับคนโง่เยี่ยงอี้หมิง ให้คนทั้งแผ่นดินหัวเราะเยาะได้เยี่ยงไร !
“นายท่าน อีเอ๋อนางชมชอบมู่ซือจื่อ…”
หลี่ซื่อกล่าวขึ้นด้วยเสียงอ่อนลงเตรียมที่จะเกลี้ยกล่อม แต่อันอิงเฉิงกลับโบกมือไปมา
“เจ้ามิต้องเอ่ยอันใดอีกแล้ว ให้อีเอ๋อแต่งเข้าจวนอ๋องอี้ ส่วนเกอเอ๋อแต่งเข้าจวนอ๋องมู่ หากเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถดึงจวนอ๋องอี้มาเป็นพวกได้ แล้วยังมิเป็นการผิดใจกับจวนอ๋องมู่อีกด้วย นี่ย่อมถือเป็นเรื่องที่ดีของทั้งสองฝ่าย”
เรื่องที่ดีทั้งสองฝ่ายอันใดกัน นี่มันเรื่องหายนะ หายนะชัด ๆ !
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น ผ้าเช็ดหน้าในมือของหลี่ซื่อแทบจะถูกนางดึงทึ้งจนขาด มิว่านางจะเกลี้ยกล่อมเยี่ยงไร สุดท้ายอันอิงเฉิงก็ยังคงยืนกรานดังเดิม เมื่อเป็นเยี่ยงนี้คงต้องหาวิธีอื่นเสียแล้ว
หลี่ซื่อเมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น ก็คิดถึงหลี่กุ้ยเฟยขึ้นมาในทันที นางและหลี่กุ้ยเฟยนั้นเป็นพี่น้องร่วมอุทร เพียงแค่นางให้คนเข้าไปส่งข่าวในวัง หลี่กุ้ยเฟยก็รีบให้คนนำป้ายมารับตัวนางเข้าวังทันที
….
“พี่หญิง ท่านเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ ท่านมิได้มาหาข้าหลายวันเลย”
หลี่กุ้ยเฟยพึ่งจะอายุยี่สิบห้าย่างยี่สิบหก บนใบหน้าที่งดงามนั้นได้รับการแต่งแต้มอย่างปราณีต และเมื่อยกยิ้มมุมปากขึ้นกลับดูไร้เดียงสาราวกับเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีก็มิปาน มิน่าถึงได้เป็นกุ้ยเฟยที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานยิ่ง
หลี่ซื่อนั่งลงบนเก้าอี้ พูดคุยเรื่องทั่วไปมิกี่ประโยคน้ำตาก็ไหลรินลงมา
“น้องหญิงคงมิรู้ ช่วงนี้พี่นั้นมีหลายเรื่องที่วุ่นวายไปหมด จึงปลีกตัวมาเยี่ยมเจ้ามิได้”
“เกิดอันใดขึ้น ? พี่หญิงรีบบอกข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
หลี่กุ้ยเฟยถามด้วยความเป็นห่วงอย่างแท้จริง พร้อมทั้งกุมมือของหลี่ซื่อเอาไว้
หลี่ซื่อปาดน้ำตา บอกออกไปอย่างมิรู้จะทำเช่นไรดี
“ก็เรื่องงานแต่งของอีเอ๋อนะสิ”
นางเล่าเรื่องราวที่จัดการอันหลิงเกอออกมา แล้วกัดฟันด้วยความโกรธแค้น
“น่าเสียดายที่นังเด็กอันหลิงเกอนั้นโชคดี เป็นเหตุให้มันรอดพ้นจากแผนการครานี้ไปได้ มิเช่นนั้นอีเอ๋อคงมิต้องมาอับอายถึงเพียงนี้”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวใบหน้าไร้เดียงสาของหลี่กุ้ยเฟยก็เผยรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นมา
“พี่หญิงเรื่องนี้ท่านพลาดแล้วล่ะ ให้อันหลิงเกอที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าแม่มาหลอกเอาได้”
นางคิดตริตรองเรื่องทั้งหมดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชี้ให้เห็นความเปลี่ยนไปของอันหลิงเกอ แล้วกล่าวว่า “อันหลิงเกอผู้นี้มีอุบายที่ล้ำลึกยิ่งนัก พี่หญิงท่านอย่าได้หลงกลนางเป็นอันขาดนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น หลี่ซื่อจึงได้เริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของอันหลิงเกอ และเมื่อหวนนึกถึงเรื่องที่อันหลิงอีที่ต้องอับอายเพราะนาง ความแค้นภายในใจก็ปะทุขึ้นมาอีกครา
“ดูท่าพี่หญิงคงจะเสียเปรียบมามิน้อย ให้ข้าเรียกนางเข้าวังมาให้พี่หญิงได้แก้แค้นซักหน่อยดีไหมเจ้าคะ”
เมื่อกล่าวจบหลี่กุ้ยเฟยก็ปิดปากหัวเราะเบา ๆ ออกมา แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความชั่วร้าย
กล้าลงมือกับพี่สาวของนางก็เท่ากับมิไว้หน้าหลี่กุ้ยเฟยเยี่ยงนาง เด็กเช่นนี้ต้องโดนสั่งสอนถึงจะถูก
…
ในเรือนฉีอู๋ ลู่จิงอวี่ยืนก้มหัวอย่างนอบน้อมอยู่ด้านหน้าของอันหลิงเกอ แล้วกล่าวรายงานออกไปว่า “แม่นางไป๋อวี่ถูกสลับตัวและส่งออกไปนอกจวนแล้วขอรับ เรื่องที่วัดชิงอวิ๋นจะมิมีทางแพร่งพรายอย่างแน่นอนขอรับ”
อันหลิงเกอนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปีที่ลานบ้าน ด้านหน้ามีกระดานหมากล้อมวางอยู่ มือซ้ายของนางถือหมากขาว มือขวาของนางถือหมากดำ นางวางหมากบนกระดานเพียงผู้เดียวอย่างตั้งใจ เมื่อลู่จิ่งอวี่กล่าวรายงาน อันหลิงเกอก็พยักหน้ารับ
“จัดการเรื่องของไป๋อวี่ให้เรียบร้อย เก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับ แล้วหาเวลาไปที่ว่าการอำเภอสร้างตัวตนใหม่ให้แก่ไป๋อวี่ด้วย”
ถึงขนาดจะสร้างตัวตนใหม่ให้แก่ไป๋อวี่เลยหรือนี่ ?
ลู่จิงอวี่เกิดความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว แม้มิรู้ว่าอันหลิงเกอมีแผนการอันใด แต่เขาก็ยังคงรับคำด้วยเสียงต่ำ มิว่าอันหลงเกอจะให้เขาทำอันใด นับตั้งแต่วันที่นางได้ช่วยครอบครัวของเขาเอาไว้ นางก็ถือเป็นเจ้าชีวิตของเขาตลอดไป ลู่จิงอวี่รับคำสั่งอย่างมิมีความสงสัยต่อคำสั่งของอันหลิงเกอแม้แต่น้อย
ขณะที่ลู่จิงอวี่พึ่งจะออกไปจากเรือนฉีอู๋ แม่นมประจำตัวของหลี่ซื่อก็เดินเข้ามาทันที
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ หลี่กุ้ยเฟยเชิญท่านเข้าวังเจ้าค่ะ”
แม่นมคนนั้นเชิดหน้าขึ้นท่าทางหยิ่งผยอง มิมีฝืนทำเป็นคำนับเลยแม้แต่น้อย
ท่าทางเยี่ยงนั้นเป็นเหตุให้อันหลิงเกอนิ่งขรึมลงทันที พร้อมกับออกคำสั่งปี้จู
“ปี้จู ตบนาง”
ปี้จูมิต้องรอให้นางพูดซ้ำก็พุ่งเข้าไปตบหน้าของแม่นมผู้นั้นทันที
“นังคนชั้นต่ำ เจ้ากล้าตบข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เมื่อแม่นมโดนสาวใช้ตัวเล็ก ตบหน้าไปถึง 2 ครั้งโดยที่ยังมิทันได้ตั้งตัว จึงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งโกรธทั้งอายและจึงเริ่มชี้หน้าด่าปี้จู
ปี้จูสะบัดมือที่รู้สึกเจ็บไปมา โดยมิเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เจ้าเข้าพบคุณหนูใหญ่ยังมิคำนับอีก ตบเจ้า 2 ทียังถือว่าโทษเบาไปด้วยซ้ำ”
ตั้งแต่ที่อันหลิงเกอและหลี่ซื่อขัดแย้งกัน คนรับใช้ในจวนโหวก็พลันข้ามหัวอันหลิงเกอทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในบางคราก็ตั้งใจส่งอาหารช้า บ้างก็ต้องส่งชุดชงชามาสองครั้งถึงจะครบ เมื่อก่อนอันหลิงเกอมิถือสา คนรับใช้เหล่านั้นก็ยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น เป็นเหตุให้ปี้จูนั้นโกรธจนแทบจะร้องไห้ แต่ขนาดคนรับใช้เก่าแก่เยี่ยงนี้ยังกล้าไร้มารยาท หากนางยังมิลงโทษสั่งสอนเสียบ้าง คนอื่นคงจะคิดว่านางนั้นจัดการได้ง่ายจนแทบจะข้ามหัวนางไปจริง ๆ
เมื่อเห็นอันหลิงเกอจะลงโทษคนรับใช้เก่าแก่แล้ว ปี้จูก็รู้สึกตื่นเต้นเลือดลมสูบฉีดไปหมด อีกทั้งยังได้ตบสั่งสอนแม่นมนั่นไป 2 ที ช่างรู้สึกดีเสียจริง
แม่นมผู้นั้นถูกปี้จูตำหนิอย่างแรง แต่ใบหน้ากลับมิมีความรู้สึกผิดหรือเกรงกลัวเลยสักนิด
“ข้าน้อยเข้ามาในเรือนนี้ก็ได้คำนับคุณหนูใหญ่ไปแล้ว คุณหนูใหญ่มองมิเห็นเองแล้วยังจะมาลงโทษข้าน้อยอีกหรือเจ้าคะ”
ใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้นเต็มไปด้วยคำถาม ทั้งยังแสร้งกล่าวโทษอันหลิงเกอว่ากลั่นแกล้งนาง
“คุณหนูใหญ่มิชอบข้าน้อย ก็มิควรจะกลั่นแกล้งข้าน้อยเยี่ยงนี้ ! ท่านคงจะเห็นแต่แกล้งทำเป็นมิเห็น แล้วอ้างมาเป็นเหตุลงโทษข้าน้อยใช่หรือไม่เจ้าคะ ! ”
เหอะ ! ยายแก่นี่ช่างโกหกหน้าตายเสียจริง !
ปี้จูถลึงตาใส่ ในเมื่อนางยืนอยู่ข้างกายคุณหนูตลอดเวลา นางยังมิเห็นยายแก่นี่คำนับเลยด้วยซ้ำ ?
อีกทั้งยังกล่าวหาว่าคุณหนูตั้งใจกลั่นแกล้งเยี่ยงนั้นรึ ช่างมิรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง
เมื่อได้ฟังคำกล่าวเยี่ยงนั้น อันหลิงเกอกลับหัวเราะขึ้นมา ดวงตาสีดำสนิทแฝงความเย็นชาราวกับน้ำแข็งเอาไว้ จากนั้นเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เจ้ากล่าวว่าข้าตั้งใจกลั่นแกล้งเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าน้อยมิกล้าพูดเยี่ยงนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
แม่นมคนนั้นส่งเสียงเหอะออกมา ท่าทางกลับมิเกรงกลัวเหมือนอย่างที่พูดออกมาเลยสักนิด
ในหน้าของอันหลิงเกอยังคงเปื้อนรอยยิ้มบาง ๆ อยู่ แต่กลับทำให้คนรับใช้เก่าแก่ผู้นั้นนั้นรู้สึกหนาวเย็นตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาและเริ่มสั่นไปทั้งตัว
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหลี่กุ้ยเฟย ว่าเหตุใดนะ ? ”
อันหลิงเกอจ้องมองไปยังใบหน้าของนางแล้วก็ถามเปลี่ยนเรื่อง ทำเอาคนรับใช้เก่าแก่ผู้นั้นถึงกับตกตะลึงงันไป
“หลี่กุ้ยเฟยเรียกท่านเข้าวังเจ้าค่ะ”
นางกล่าวตอบออกไปด้วยท่าทีมิพอใจ พร้อมกับส่งเสียง หึ ! ออกมา เมื่อครู่นางเห็นแววตาของคุณหนูใหญ่ ยังคิดว่าคุณหนูใหญ่จะจัดการนางซะแล้ว สุดท้ายก็แค่เด็กอมมือ มิกล้าทำอันใดตนเองจริงหรอก ขณะที่แม่นมกำลังคิดอย่างได้ใจ และเชิดจมูกขึ้น
อันหลิงเกอกลับหันไปเอ่ยปี้จูที่อยู่ด้านหลัง
“ปี้จู เมื่อครู่นางกล่าวว่าอย่างเยี่ยงไรนะ ? ”
ปี้จูกระพริบตาปริบปริบ เข้าใจในความหมายของอันหลิงเกอในทันที พลันมุมปากยกขึ้นเผยให้เห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง
“เรียนคุณหนู ข้าน้อยก็มิได้ยินเจ้าค่ะ”
นางหันไปมองที่คนรับใช้เก่าแก่ผู้และเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“แม่นม เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าเยี่ยงไรนะ?”
แม่นมคนนั้นมีท่าทางมิพอใจ แต่ก็ยังกล่าวตอบว่า “หลี่กุ้ยเฟยเรียกคุณหนูใหญ่เข้าวังเจ้าค่ะ”