พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 271 ประตูวังอันลึกลับ
ตอนที่ 271 ประตูวังอันลึกลับ
หลังจากที่ชิงซินกล่าวจบ สาวใช้อีกคนที่ชื่อชิงเหมยก็รีบกล่าวต่อทันที “ใช่แล้วเจ้าค่ะ หวางเฟยโปรดปรานสิ่งใดบ้างมีเพียงพวกเราที่รู้ หากเปลี่ยนให้คนในวังดูแล บ่าวเกรงว่าจักดูแลท่านได้มิดีเหมือนพวกเราเจ้าค่ะ”
มู่หวางเฟยเดิมทีร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว หากนางกำนัลในวังมิรู้เรื่องอันใดมาดูแลและทำให้หวางเฟยรู้สึกมิสบายจักทำเช่นไร ?
เมื่อได้ฟังริมฝีปากของมู่หวางเฟยก็โค้งขึ้น น้ำเสียงที่เอ่ยยังคงอ่อนโยน “ได้ เจ้าสองคนตามข้าเข้าวังก็แล้วกัน”
เมื่อกล่าวจบมู่หวางเฟยก็เห็นแม่นมมีท่าทีอยากกล่าวอันใดบางอย่าง นางจึงชิงออกคำสั่งเสียก่อน “แม่นมขง เจ้าอยู่ที่จวนก็แล้วกัน จวนอ๋องมู่ใหญ่เช่นนี้ควรมีคนคอยดูแลจัดการ ถึงแม้จักมีพ่อบ้านโจวดูแล แต่สาวใช้พวกนี้มีเจ้าคอยดูแลย่อมดีกว่า หากมีเจ้าและพ่อบ้านโจวอยู่ที่นี่ ข้าจักได้เข้าวังอย่างสบายใจ”
นางออกคำสั่งเช่นนี้ ต่อให้แม่นมขงเป็นห่วงมากเพียงใดก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น “หวางเฟยวางใจได้เจ้าค่ะ บ่าวจักดูแลจวนเป็นอย่างดี ตอนท่านไปจวนเป็นเช่นไร เมื่อท่านกลับมาก็ยังคงเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“ส่วนเรื่องฮานเอ๋อ” มู่หวางเฟยกล่าวแล้วหยุดไปครู่หนึ่ง “ส่งคนไปแจ้งข่าวแก่เขาหน่อยก็แล้วกัน”
ชิงเหมยขมวดคิ้ว “ท่านมิรอเจอซื่อจื่อก่อนแล้วค่อยไปหรือเจ้าคะ ? ”
มิใช่ลาจากกันชั่วนิรันดร์เสียหน่อย จักเคร่งเครียดอันใดถึงเพียงนั้น ?
มู่หวางเฟยยกยิ้มพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย “มิต้องหรอก ถ้าฮานเอ๋อต้องการพบข้าก็แค่ไปเข้าเฝ้าไทเฮาเท่านั้น”
ถึงอย่างไรมู่จวินฮานก็สามารถเข้าออกวังได้ตลอดเวลา หากสองคนแม่ลูกอยากพบกันก็มิใช่เรื่องยากอันใด
ยิ่งกว่านั้นยังได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอันได้รับการยกเว้นจากฝ่าบาทและแต่งตั้งเป็นหมอหญิง บางทีพวกนางอาจได้พบกันก็เป็นได้
ชิงซินและชิงเหมยรีบเก็บข้าวของ ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีห่อผ้าเล็ก ๆ สองห่อออกมาและคอยอยู่ข้างกายมู่หวางเฟยจนถึงวังหลวง
มู่หวางเฟยลงจากรถม้าเมื่อถึงหน้าประตูวัง แม้บนรถม้าปูด้วยเบาะหนานุ่ม แต่ด้วยความที่นั่งมาตลอดทางก็ยังทำให้นางรู้สึกมิค่อยสบายอยู่ดี
ตอนนี้ลงจากรถม้าแล้วจึงทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก
นางเงยหน้ามองกำแพงสีแดงสะดุดตาซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า อิฐแดง กระเบื้องเคลือบสีเขียวและประดับแก้วสีเหลือง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทัศนียภาพที่นางได้เห็นน้อยครั้งหลังจากแต่งเข้าจวนอ๋องมู่
ถึงแม้องค์ไทเฮามิได้ส่งคนไปเชิญมู่หวางเฟยเข้าวังอย่างเป็นทางการ แต่ได้ส่งนางกำนัลข้างกายไปรอรับที่ประตูวังนานแล้ว ด้านข้างยังมีเกี้ยวหยุดรอไว้แล้วด้วย
“ในที่สุดมู่หวางเฟยก็มาแล้วเจ้าค่ะ” นางกำนัลเดินเข้ามาต้อนรับพร้อมรอยยิ้มพลางกวาดตาไปหยุดอยู่บนห่อผ้าในมือของชิงซินและชิงเหมย “องค์ไทเฮาสั่งให้บ่าวมารับหวางเฟยเจ้าค่ะ”
นางผายมือไปทางเกี้ยวที่หยุดรออยู่ มุมปากยังคงมีรอยยิ้มประดับเอาไว้ “นี่เป็นการต้อนรับที่น้อยคนนักจักได้รับเจ้าค่ะ”
วังหลวงเป็นสถานที่มิอาจเทียบเคียงได้ เกี้ยวเช่นนี้จึงมิใช่ผู้ใดคิดนั่งก็สามารถนั่งได้
มู่หวางเฟยมองด้วยสายตาอ่อนโยน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ข้าจักไปขอบพระทัยองค์ไทเฮาอย่างแน่นอน”
ชิงซินที่อยู่ด้านหลังลอบเบะปากออก หากมิใช่ฮ่องเต้และไทเฮาคิดแผนนี้ขึ้นมา หวางเฟยของพวกนางก็มิต้องออกจากจวนแล้วนั่งรถม้ามาไกลถึงเพียงนี้จนทำให้รู้สึกมิสบายร่างกายเพื่อได้รับเกียรติแค่นี้หรอก
ชิงเหมยเห็นท่าทางของชิงซินก็ใช้แขนชนเพื่อห้ามปราม ชิงซินจึงรีบเก็บสีหน้า จากนั้นจึงก้มหน้าลงและเดินตามมู่หวางเฟยไปโดยมิพูดมิจา
นางสองคนเป็นสาวใช้ย่อมมิสามารถนั่งในเกี้ยวได้จึงทำได้เพียงเดินตามหลังเกี้ยวไปพร้อมนางกำนัลคนเมื่อครู่
“มิทราบว่าพี่สาวท่านนี้มีนามว่าอันใดหรือ ? ” ชิงเหมยปากหวานช่างประจบ เมื่อเรียกพี่สาวแล้วนางกำนัลคนนั้นจึงยิ้มออกมา
“ข้าชื่อจิ่งเชวี่ยเป็นนางกำนัลในตำหนักองค์ไทเฮา เจ้าเรียกข้าว่าจิ่งเชวี่ยก็พอ” นางกำนัลที่เป็นผู้นำทางกล่าวขึ้น จากนั้นชิงซินและชิงเหมยจึงแนะนำตัวบ้าง
ทั้งสามคนทำความรู้จักกันคร่าว ๆ แล้วก็สนทนาเรื่องทั่วไป มินานก็มาถึงตำหนักซือหนิง
มู่หวางเฟยมีชิงซินและชิงเหมยคอยประคองลงจากเกี้ยว เพียงครู่เดียวก็พบว่าไทเฮาได้ออกมาประทับอยู่นอกตำหนักแล้ว
“ถวายพระพรองค์ไทเฮาเพคะ”
มู่หวางเฟยยังมิทันย่อคำนับ ไทเฮาก็รีบยื่นพระหัตถ์มาประคองเสียก่อน “เจ้าร่างกายมิค่อยแข็งแรง ธรรมเนียมพวกนี้ก็ยกเว้นไปเถิด”
มู่หวางเฟยมิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เพียงแค่กล่าวขอบพระทัยเท่านั้นแล้วก็เดินเข้าไปในตำหนัก
เมื่อเข้าไปในตำหนัก เหล่านางกำนัลได้เตรียมชาและของว่างรอไว้อยู่ก่อนแล้ว พอได้สัญญาณจากองค์ไทเฮาจึงนำชาและของว่างมาจัดบนโต๊ะทันที จากนั้นไทเฮาก็โบกพระหัตถ์ให้เหล่านางกำนัลถอยออกไป
บ่งบอกได้ว่าถึงเวลาที่พระนางจักสนทนาเรื่องที่เป็นความลับแล้ว มู่หวางเฟยจึงเหลือบมองชิงซินและชิงเหมยครู่หนึ่ง
ไทเฮาเข้าใจความหมายของนางทันที จากนั้นจึงหันไปตรัสกับจิ่งเชวี่ยที่ยังมิได้ถอยออกไปว่า “จิ่งเชวี่ย เจ้าไปเตรียมห้องพักให้สาวใช้สองคนนี้ ข้ามีเรื่องจักคุยกับมู่หวางเฟยสักครู่”
ชิงซินและชิงเหมยจึงเดินตามจิ่งเชวี่ยออกไป ตอนนี้ในตำหนักจึงเหลือเพียงมู่หวางเฟยและไทเฮาเท่านั้น
“ตั้งแต่เจ้าแต่งงานกับอ๋องมู่ ข้าก็มิได้พบเจ้ามานานมากแล้ว ” สีพระพักตร์ของไทเฮาช่างอบอุ่น ในน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความคิดถึง
ตอนที่มู่หวางเฟยยังแรกรุ่นก็มิได้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในจวนเช่นนี้ ตอนนั้นนางสุขภาพมิค่อยดีเช่นกัน แต่ยังตามมารดามาร่วมงานสำคัญอยู่บ้าง
ทว่าหลังจากแต่งงานกับอ๋องมู่แล้วสุขภาพก็ยิ่งแย่และมิค่อยออกจากจวนไปไหนอีกเลย
มู่หวางเฟยยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าที่ซีดเซียวแสดงสีหน้าจนใจ “หม่อมฉันก็อยากออกไปไหนมาไหนเช่นกันเพคะ เพียงแต่ร่างกายช่างอ่อนแอจึงทำได้เพียงพักผ่อนอยู่แต่ในเรือนเพคะ”
“ที่เชิญเจ้าเข้าวังมาในครั้งนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ไร้ทางเลือก” ไทเฮาตบลงที่หลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วถอนหายใจออกมา “เพียงแต่ทางฮ่องเต้ เจ้าก็รู้ดี…”
องค์ไทเฮาหยุดตรัสอยู่แค่นั้นก็มิได้เผยสิ่งใดออกมาอีก ต่อให้คนทั่วต้าโจวรู้ว่าฮ่องเต้มีนิสัยหวาดระแวง แต่เรื่องเช่นนี้แค่พูดคุยกันลับ ๆ ก็พอแล้ว อีกทั้งนางเป็นถึงไทเฮายิ่งมิเหมาะที่จักกล่าวเรื่องนี้ต่อหน้าผู้อื่น
มู่หวางเฟยพยักหน้ารับ “หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ ไทเฮาเองก็ทรงทำเพื่อจวนอ๋องมู่ของพวกเราเช่นกัน”
นางเข้าวังมา แม้กล่าวได้ว่าเป็นตัวประกัน แต่ก็ถือว่าได้ปกป้องจวนอ๋องมู่ให้ปลอดภัย ฮ่องเต้มิกล้าทำอันใดจวนอ๋องมู่และยิ่งมิกล้าทำอันตรายต่อท่านอ๋องมู่อีกด้วย
องค์ไทเฮาทรงโปรดนิสัยอ่อนโยนและฉลาดของมู่หวางเฟยมาก หากมิใช่เพราะตอนนั้นท่านอ๋องมู่จิตใจตั้งมั่นในการสมรสกับมู่หวางเฟย พระนางยังคิดให้มู่หวางเฟยอภิเษกกับฝ่าบาทเสียด้วยซ้ำ
เมื่อนึกถึงเรื่องในตอนนั้น ไทเฮาก็หัวเราะออกมา “คุณหนูใหญ่ตระกูลอันผู้นั้นทำความดีความชอบใหญ่หลวงจึงทูลขอฮ่องเต้พระราชทานตำแหน่งหมอหญิงให้ ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ที่สำนักหมอหลวง ให้นางมาดูอาการเจ้าหน่อยดีหรือไม่ ? ”
ไทเฮาย่อมหมายถึงอันหลิงเกอ
มู่หวางเฟยก็รู้สึกสนใจในตัวของสตรีที่เกือบได้เป็นลูกสะใภ้อยู่แล้ว “หม่อมฉันได้ยินว่าคุณหนูใหญ่จวนโหวสามารถเข้าออกวังได้อย่างอิสระ เวลานี้มิรู้ว่ายังอยู่ที่สำนักหมอหลวงหรือไม่เพคะ ? ”
“ต้องอยู่แน่นอน” สายพระเนตรขององค์ไทเฮาขณะที่ตรัสถึงอันหลิงเกอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เด็กสาวผู้นั้นมีฝีมืออยู่มิน้อย เมื่อครู่เพิ่งจัดยาบำรุงส่งมาให้ข้า มองแล้วตอนนี้คงกำลังอยู่ที่สำนักหมอหลวง”
มู่หวางเฟยจึงยกยิ้ม มิได้ปฏิเสธความหวังดีของไทเฮาและขอบพระทัยแทน “เช่นนั้นคงต้องรบกวนไทเฮาส่งคนไปเชิญคุณหนูใหญ่อันมาสักหน่อยเพคะ”
เมื่อได้ยินว่าองค์ไทเฮาให้มาเชิญนางไปตรวจพระวรกายแก่มู่หวางเฟย มือที่ถือพู่กันของอันหลิงเกอก็ชะงักไปชั่วครู่ น้ำหมึกไหลลงมาตามปลายพู่กันจนเป็นรอยเลอะบนกระดาษ
มู่หวางเฟยเข้าวังมาตั้งแต่เมื่อไร ?
ดวงตาสีดำที่สุกสกาวของอันหลิงเกอสั่นไหวพลางมองนางกำนัลที่มาเชิญตรงหน้า “นำทางข้าไปที”