พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 275 ความในใจของอันผิงกงจู่
ตอนที่ 275 ความในใจของอันผิงกงจู่
หลังออกมาจากตำหนักซือหนิง อันผิงกงจู่ก็หุบยิ้มอันร่าเริงและมีชีวิตชีวาทันที
นางใช้หางตามองอันหลิงเกอ หางตาที่ยกขึ้นนั้นแสดงให้เห็นว่านางเป็นคนจุกจิกมิน้อย อีกทั้งแววตายังเต็มไปด้วยการดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างชัดเจน
“มู่หวางเฟยเพิ่งถูกเสด็จย่าเชิญเข้ามาในวัง เจ้าก็รีบเข้าไปประจบประแจงเสียแล้ว สมกับเป็นคนของจวนโหวที่กำลังเสื่อมอำนาจ ไร้คุณสมบัติของสตรีจากตระกูลใหญ่เสียจริง”
มุมปากของอันหลิงเกอยกขึ้นเล็กน้อย แต่สายตาเย็นชาทันที นัยน์ตาสีดำเย็นชาราวกับแช่อยู่ในน้ำแข็ง เพียงแค่สบมองก็ทำให้จิตใจของคนมองรู้สึกหนาวเหน็บจนสั่นสะท้านได้
อันผิงกงจู่มิพอใจนางเพราะเรื่องของลู่จ้าน เหตุใดต้องพาดพิงทั้งจวนโหว เหตุใดต้องพูดจาดูหมิ่นว่าจวนของนางกำลังเสื่อมอำนาจด้วยเล่า ?
ขอเพียงเป็นคนที่รู้จักกับจวนโหวย่อมมิมีทางเพิกเฉยต่อคำกล่าวนี้ของอันผิงกงจู่เป็นแน่
“หม่อมฉันย่อมสูงส่งเทียบกงจู่มิได้อยู่แล้วเพคะ” เมื่ออันหลิงเกอตอบกลับก็เห็นอีกฝ่ายยกมุมปากขึ้นคล้ายกำลังยิ้มเยาะ และอันหลิงเกอก็กล่าวต่อทันที
“แต่หม่อมฉันก็มิได้เหนื่อยเท่าอันผิงกงจู่หรอกเพคะ วัน ๆ ต้องคอยใส่หน้ากากเสแสร้งว่าเป็นคนน่ารักนิสัยดี หากพูดให้น่าฟังแล้วกงจู่เป็นคนฉลาดมีไหวพริบจึงรู้จักวิธีเอาใจไทเฮา ทว่าหากให้กล่าวตามตรงคือพระองค์ช่างน่าสงสารจนต้องคอยเอาใจไทเฮามากถึงเพียงนี้”
อันหลิงเกอพูดออกมา ดวงตาที่ลึกล้ำเดิมก็เต็มไปด้วยประกายดำมืดอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งดูราวกับสระน้ำที่ลึกลงไปจนมิอาจมองเห็นก้นสระอย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นจ้องมองไปที่อันผิงกงจู่ คล้ายจักส่องให้เห็นความมืดมนและเรื่องน่าอับอายทั้งหมดของอีกฝ่ายก็มิปาน
“กงจู่ พระองค์เป็นถึงพระธิดาของฮ่องเต้ทั้งยังกำเนิดจากองค์ฮองเฮา เดิมควรเป็นสตรีสูงส่งที่สุดในต้าโจว แค่เพียงพระองค์วางตัวให้สง่างามและอยู่ในกฎระเบียบ เป็นองค์หญิงที่ประพฤติตนเรียบร้อย ต่อให้มิฉลาดเฉลียวก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายที่สุดในวังหลวงแห่งนี้ แต่พระองค์กลับกลัวว่าจักถูกพี่น้องแย่งความสำคัญ กลัวว่าจักสูญเสียความรักจากฝ่าบาท ดังนั้นพระองค์จึงพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่มีชีวิตชีวาให้ตนเอง แสดงความรักและความเป็นห่วงต่อหน้าไทเฮา จนในที่สุดก็ทำให้ผู้อื่นหลงชื่นชมว่าเป็นคนกตัญญู ร่าเริงและมีจิตใจดี”
“หุบปาก ! ”
สีหน้าของอันผิงกงจู่เปลี่ยนไปทันที สายตาที่มองอันหลิงเกอมิใช่สายตาดูถูกและเย้ยหยันอีกแล้ว ทว่าเต็มไปด้วยความโกรธที่ใกล้ปะทุออกมาเต็มทน
“ข้าจักทำสิ่งใดก็เรื่องของข้า เจ้ามิมีสิทธิ์มาสั่งสอน ! ”
หลังจากนั้นอันผิงกงจู่ก็กระทืบเท้าอย่างโกรธเกรี้ยว เพราะความคิดของนางถูกอันหลิงเกอล่วงรู้จึงทำให้รู้สึกอับอายและมีความวิตกกังวลก่อตัวขึ้น
เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่อันหลิงเกอคาดเดาเองทั้งสิ้น ตอนที่กล่าวออกมานั้นภายในใจมิได้มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย นางจึงได้มั่นใจในสิ่งที่ตนคาดเดา
เนื่องจากคนเยี่ยงอันผิงกงจู่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ความมั่งคั่งและชีวิตที่ผู้อื่นใฝ่ฝันนางล้วนมีอยู่ในมือทั้งสิ้น
แม้บอกว่าต้าโจวมีองค์หญิงมากมาย ทว่าที่ประสูติจากองค์ฮองเฮาเช่นอันผิงกงจู่นั้นมีแค่พระองค์เดียว
ฮองเฮาไร้พระโอรส ดังนั้นจึงรักและทะนุถนอมอันผิงกงจู่เป็นอย่างมาก สำหรับองค์หญิงพระองค์นี้แทบเรียกได้ว่าอยากได้สิ่งใดล้วนต้องได้มาครอบครอง
ทว่าอันผิงกงจู่ยิ่งถูกยกขึ้นสูงเท่าใด ยิ่งได้รับมากมายแค่ไหนก็ยิ่งกลัวสูญเสียไปมากเท่านั้น
นางมิกล้าคิดว่าหากวันหนึ่งตนต้องสูญเสียความรักจากฮองเฮา สูญเสียความรักจากฝ่าบาท แม้แต่ไทเฮาก็มองข้ามนางไป พี่น้องที่อยู่ภายในวังเหล่านั้นจักนินทาและปฏิบัติต่อนางเช่นไร
ดังนั้นอันผิงกงจู่จึงสร้างภาพลักษณ์สดใสร่าเริงขึ้นมาอย่างสุดกำลัง สร้างภาพที่ดูกตัญญูและโดดเด่นออกมา นางเป็นถึงพระธิดาของฮองเฮา นางฉลาดเฉลียว ร่าเริงสดใส แตกต่างจากองค์หญิงพระองค์อื่นซึ่งนางแสร้งเป็นองค์หญิงที่เปี่ยมล้นด้วยพลังงาน ผู้ใดเล่าจักมิชอบคนเยี่ยงนี้ ?
ทั้งที่เป็นคนสูงส่งและเป็นที่โปรดปรานอยู่แล้วยังต้องคอยสวมหน้ากากตลอดเวลาจนหลงลืมตัวตนที่แท้จริง หากมิใช่เรื่องน่าเศร้าแล้วให้เรียกว่าสิ่งใด ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นัยน์ตาของอันหลิงเกอก็แฝงไว้ด้วยความเห็นใจ ท่าทีเช่นนี้ยิ่งทำให้อันผิงกงจู่รู้สึกอับอายขึ้นอีก ใบหน้าที่งดงามค่อย ๆ แดงก่ำ มิรู้ว่าเพราะกำลังโกรธหรืออับอายกันแน่
“กงจู่ทำสิ่งใดก็ย่อมมิเกี่ยวข้องกับหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ” อันหลิงเกอตอบโต้อีกฝ่าย แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉยมิบ่งบอกอารมณ์ใด “เพียงแต่พระองค์โดนคนใช้เป็นเครื่องมือเพื่อมาทำร้ายหม่อมฉัน หรือว่าเต็มใจให้เป็นเช่นนี้เองเพคะ ? ”
เมื่ออันหลิงเกอกล่าวจบ สีหน้าของอันผิงกงจู่ก็แข็งกร้าวทันที โดนใช้เป็นเครื่องมือเยี่ยงนั้นหรือ ?
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปชั่วขณะและถลึงตาใส่อันหลิงเกอ “เจ้าหมายความเยี่ยงไร ? ”
“ครั้งก่อนที่เข้าวัง เหตุใดกงจู่ต้องลากหม่อมฉันไปยิงธนูด้วยเพคะ ? ”
อันหลิงเกอมิได้เผยความคิดออกมาโดยตรง แต่เอ่ยถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อนและเมื่อกล่าวถึงก็เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีประหม่า เม้มริมฝีปากแน่นมิกล่าวสิ่งใดออกมา แสดงให้เห็นว่าเป็นเพราะอันหลิงเกอล่วงรู้ความคิดจึงทำให้รู้สึกวิตกกังวลมาก
“วันนั้นข้ามิสบายจึงนึกขึ้นได้ว่าฟู่หวงทรงแต่งตั้งเจ้าเป็นหมอหญิง คิดอยากทดสอบฝีมือของเจ้าถึงได้เรียกเจ้าเข้าวังมาดูอาการก็เท่านั้น”
อันผิงกงจู่แสดงอาการร้อนตัวออกมาเพียงครู่เดียว นางสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่สดใสร่าเริงในวังหลวงได้นับสิบปี เห็นได้ชัดว่าการแสดงนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด ย่อมมิมีทางตกม้าตายเพราะคำกล่าวเพียงมิกี่คำของอันหลิงเกอแน่นอน
นางหยิบยกข้ออ้างที่เตรียมไว้ขึ้นมากล่าวทันที ตอนอันหลิงเกอเข้าวังมาครั้งแรกนางกล่าวเช่นไร ตอนนี้ย่อมต้องกล่าวให้เหมือนเดิมจึงสามารถยืนยันว่าตนมิได้โกหก
ทว่าอันผิงกงจู่หลงลืมไปเรื่องหนึ่ง
อันหลิงเกอยกมุมปากขึ้น “ร่างกายของกงจู่แข็งแรงหรือไม่ก็มิเคยให้หม่อมฉันตรวจมาก่อน พระองค์ประชวรจริงหรือแกล้งก็ย่อมมีคนกราบทูลฮ่องเต้และฮองเฮาอยู่แล้วใช่หรือไม่เพคะ ? ”
อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นพระธิดาที่รักและโปรดปราน หากป่วยไข้ขึ้นมาทั้งฮ่องเต้และฮองเฮามีหรือจักมิส่งหมอหลวงมาดูอาการ
“พอหม่อมฉันเข้าวังก็ถูกกงจู่ลากไปที่สนามฝึกทันที มิมีท่าทางป่วยไข้ให้เห็นแม้แต่น้อย หูตาในวังมีมากมายเช่นนี้ ยากรับประกันได้ว่าจักมิมีผู้ใดไปทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้และฮองเฮาเพคะ”
ฮองเฮามีเพียงอันผิงกงจู่พระองค์เดียว ต่อให้นางหยิ่งผยองและดื้อรั้นเพียงใด พระองค์ก็ยังคงรักพระธิดาดังเดิม
ทว่าฮ่องเต้มิเหมือนกัน เนื่องจากมีโอรสธิดาด้วยกันหลายพระองค์ แต่ที่ยังให้ความสำคัญและให้ความรักแก่อันผิงกงจู่ เหตุผลสำคัญเพราะนางเป็นพระธิดาที่กำเนิดจากฮองเฮา ฐานะจึงสูงส่งกว่าองค์หญิงพระองค์อื่น
หากมีคนไปทูลฝ่าบาทว่าอันผิงกงจู่ประพฤติตนมิเหมาะสม ฮ่องเต้จักทรงคิดเช่นไร ?
อีกทั้งวันนั้นองค์รัชทายาทก็อยู่ที่นั่นด้วยจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและหากส่งคนไปทูลฝ่าบาทว่าแท้จริงแล้วอันผิงกงจู่มิได้ประชวร เพียงหาข้ออ้างเพื่อเรียกอันหลิงเกอเข้าวังแล้วกลั่นแกล้งเท่านั้น
หากมิใช่เพราะวันนั้นอันผิงกงจู่รีบร้อนเกินไปจนทนมิไหวในการทำให้นางได้อับอาย อันผิงกงจู่ก็คงมิทำเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ออกมา
เมื่อครุ่นคิดตามที่อันหลิงเกอเอ่ยออกมา ใบหน้าของอันผิงกงจู่ก็ค่อย ๆ ซีดเผือด
อันผิงกงจู่นับว่าเป็นคนฉลาดเมื่อเทียบกับเหล่าพี่น้อง แต่พฤติกรรมเช่นนี้ในสายตาของอันหลิงเกอคือเต็มไปด้วยข้อเสียมากมาย
หากในสายตาของบุตรีขุนนางยังเห็นเป็นเช่นนี้แล้วในสายตาของฮ่องเต้กับฮองเฮาเล่า ?
อันผิงกงจู่มิกล้าคิดต่อ รู้สึกราวกับว่ามีเหงื่อเย็นชื้นอาบทั่วแผ่นหลังเลยทีเดียว