พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 277 ฉางอันกงจู่
ตอนที่ 277 ฉางอันกงจู่
หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วอันผิงฉางอันกงจู่ก็พาอันหลิงเกอเดินบุกเข้าไปยังตำหนักของฉางอันฉางอันกงจู่ทันที
“พี่หญิงมาได้เยี่ยงไรเพคะ ? ”
ฉางอันกงจู่พอทราบข่าวก็รีบเดินออกมาทันที ด้านหลังของนางมีนางกำนัลเดินตามออกมาด้วยสองสามคนและสายตาของอันหลิงเกอได้จ้องมองไปยังนางทันที
ใบหน้ารูปไข่ที่ขาวนวลของฉางอันกงจู่ ดวงตาเรียวยาวได้รูป ริมฝีปากสีแดงสด คิ้วโก่งดังคันศร รูปร่างบอบบาง เทียบกันแล้วมีความอรชรอ้อนแอ้นกว่าอันผิงกงจู่มาก ทั้งยังดูมีความไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยที่มิรู้เรื่องรู้ราวอันใดมากนัก
แต่ปีนี้นางมีอายุ 11 ปีแล้ว ทั้งยังเติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมของวังหลวง แม้แต่อันผิงกงจู่ยังเสแสร้งว่าเป็นคนสดใสร่าเริงได้ แล้วนางจักเป็นแค่เด็กที่มิรู้เรื่องรู้ราวจริงอย่างนั้นหรือ ?
นี่คงเป็นเพียงเปลือกนอกที่นางจงใจแสดงให้เห็นก็เท่านั้นเอง
“เจ้าได้ยินมาจากไหนว่าแม่ทัพน้อยลู่ชอบคุณหนูใหญ่อัน ? ” อันผิงกงจู่มิอยากมากความให้เสียเวลา ในเมื่อตัดสินใจมาถามความจริงจากปากของฉางอันแล้ว นางจึงพูดเข้าเรื่องทันที
ฉางอันกงจู่มองไปตามนิ้วของอันผิงกงจู่ที่ชี้อยู่จึงได้เห็นว่าที่ชี้ไปนั้นคืออันหลิงเกอ
ทำให้นางรู้สึกตกใจเมื่อเห็นท่าทางของอันผิงกงจู่ที่ราวกับมาคิดบัญชีอย่างไรอย่างนั้น
แต่เรื่องที่นางแอบทำลับหลังพวกนั้น อันผิงกงจู่มิน่าทราบได้นี่นา
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาจากนางกำนัลในตำหนักอีกทีเพคะ”
ฉางอันกงจู่กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ยังนิ่งสงบมิเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย “หรือว่าพี่หญิงไปบอกกับแม่ทัพน้อยลู่…”
“หุบปาก ! ” อันผิงกงจู่มีใบหน้าเย็นชา เรื่องที่นางชอบลู่จ้านก็เรื่องหนึ่ง แต่ฉางอันกลับพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีเจตนามิดีอย่างแน่นอน
เมื่อถูกตำหนิ ฉางอันกงจู่ก็แสร้งทำท่าทีน้อยใจราวกับมิรู้ว่าเหตุใดพี่หญิงถึงได้โกรธกริ้วเช่นนี้
ใบหน้าไร้เดียงสาปรากฏความเจ็บปวดและสับสน แต่ก็ยังก้มหน้าลงแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “หากพี่หญิงมิอยากได้ยิน ต่อไปข้าก็จักมิกล่าวถึงอีกเพคะ”
มิรู้ว่าเหตุใดอันหลิงเกอจึงรู้สึกราวกับเห็นเงาของอันหลิงเฉว่ซ้อนทับบนร่างของฉางอันกงจู่
แต่ถ้าเทียบกับอันหลิงเฉว่ที่ไร้เดียงสาและดูบอบบางแล้ว ฉางอันกงจู่ดูไร้เดียงสาแต่มิได้แสดงความบอบบางและอ่อนแอออกมา
แม้เป็นเช่นนั้น ทว่าเล่ห์เหลี่ยมของนางก็นับว่ามิด้อยไปกว่าอันหลิงเฉว่
เพียงแค่คำพูดคำจาของนางมิกี่ประโยคก็เปลี่ยนจากคนที่มีเจตนาร้ายเป็นคนที่คอยเอาใจใส่อันผิงกงจู่จนยอมถูกต่อว่าเสียเอง ช่างเป็นน้องสาวที่ดีเสียจริง คนทั่วไปคงมิมีผู้ใดทำถึงเพียงนี้แน่
อันหลิงเกอจ้องมองไปยังใบหน้าไร้เดียงสานั้น ฉางอันกงจู่มิสูงเท่าอันผิงกงจู่เกือบคืบ
นางเงยหน้าขึ้นมามองอันหลิงเกอ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน “เจ้าเป็นคนให้พี่หญิงมาสอบสวนข้าหรือ ? ”
ฉางอันกงจู่มิได้กล่าวกับพี่สาว แต่พุ่งเป้ามาที่อันหลิงเกอแทน เห็นได้ชัดว่าต้องการโยนความผิดมาให้
น่าเสียดายที่อันหลิงเกอมิใช่คนที่ยอมโดนรังแกโดยง่าย หากผู้ใดอยากเหยียบย่ำนางก็ต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม
“หม่อมฉันจักกล้าได้เยี่ยงไรเพคะ ? ” อันหลิงเกอหลุบตาลงแสดงถึงความมีมารยาทแต่มิได้ลดค่าตนให้ดูต่ำต้อยแต่อย่างใด
เดิมทีอันผิงกงจู่ถูกคนยุแยง นางจึงพูดหว่านล้อมจนรู้ตัวของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฉางอันกงจู่ที่คอยวางแผนอยู่เบื้องหลัง ตนจึงมิจำเป็นต้องกล่าวอ้อมค้อมกับอีกฝ่าย
“หม่อมฉันแค่อยากถามฉางอันกงจู่ว่าเหตุใดต้องแพร่ข่าวลือเช่นนี้ออกมา เรื่องนี้มีประโยชน์กับพระองค์อย่างไรเพคะ ? ”
ระหว่างนางกับลู่จ้านต่างก็บริสุทธิ์ใจต่อกัน ทว่าฉางอันให้คนไปบอกอันผิงกงจู่ว่าลู่จ้านชอบนางโดยใช้วิธียืมมือผู้อื่นมาทำร้ายนาง
ทั้งที่นางกับฉางอันกงจู่มิเคยสนทนากันมาก่อน แต่อีกฝ่ายกลับตั้งใจโจมตีนาง ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก
แต่หากเปลี่ยนจากเอ่ยว่าฉางอันกงจู่ตั้งใจทำร้ายนางมาเป็นตั้งใจทำร้ายอันผิงกงจู่ก็ดูเหมาะสมมากกว่า
ก็เหมือนที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่ เรื่องที่อันผิงกงจู่กลั่นแกล้งนาง หากฮ่องเต้ทรงทราบก็จักเป็นการทำลายภาพลักษณ์ร่าเริงสดใสกงจู่พระองค์นี้ ทั้งที่ภาพลักษณ์ทำให้อันผิงกงจู่ดูแตกต่างจากพี่น้องคนอื่นในหทัยของฝ่าบาท แต่มิแน่ว่าอาจทำให้สูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาทด้วยสาเหตุนี้ก็เป็นได้
อีกทั้งอันอิงเฉิงยังเป็นขุนนางคนสำคัญของฮ่องเต้ หากอันผิงกงจู่ทำร้ายนางตอนนี้แล้วฮ่องเต้ทรงทราบเข้า ย่อมรู้สึกว่าอันผิงกงจู่หยิ่งผยองเอาแต่ใจ มิรู้จักนึกถึงส่วนรวมแม้แต่น้อย
แล้วผู้ใดจักชอบบุตรีเช่นนี้ ?
ในตอนนี้ฉางอันกงจู่ที่โดนฮ่องเต้มองข้ามมาตลอดก็จักมีโอกาสแสดงตนและขึ้นมาแทนทีอันผิงกงจู่ได้อย่างสะดวก กลายเป็นพระธิดาคนต่อไปที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน
มิแน่นางอาจอาศัยเรื่องนี้มาทำลายชื่อเสียงของอันผิงกงจู่ ทำให้อีกฝ่ายมิสามารถอภิเษกกับลู่จ้านได้อีกเลย
อันหลิงเกอยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ เกรงว่าสิ่งที่นางคาดเดาจักเป็นความจริง
หากเป็นเรื่องจริง ความคิดของฉางอันกงจู่ช่างล้ำลึกนัก องค์หญิงที่มีอายุเพียง 11 ปีกลับน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ มิอยากคิดเลยว่าต่อไปคนผู้นี้จักร้ายกาจมากเพียงใด
เมื่อถูกอันหลิงเกอเอ่ยถาม ฉางอันกงจู่ก็มีท่าทีตกตะลึง จากนั้นก็เอียงศีรษะไปด้านข้าง ใบหน้าไร้เดียงสาแสดงความงงงวยออกมา
“เจ้ากล่าวอันใด เรื่องนี้มิเกี่ยวกับข้าและข้าก็แค่ได้ยินคนใกล้ตัวพูดกันจึงนำไปบอกพี่หญิงเท่านั้น หรือว่าในสายตาของเจ้าเห็นข้าจักได้ผลประโยชน์อันใดจากเรื่องนี้หรือ ? ”
ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้หรือไม่ก็ต้องดูว่าอันผิงกงจู่คิดเห็นเช่นไร
อันหลิงเกอมิได้กล่าวอันใดออกมา นางได้ชี้แนะอันผิงกงจู่ไปแล้วว่าจักยอมเป็นคนที่โดนหลอกใช้ หรือทำเหมือนมิมีอันใดเกิดขึ้นก็ขึ้นอยู่กับตัวอันผิงเองแล้ว
“จงเรียกคนที่พูดให้เจ้าฟังออกมา” อันผิงกงจู่จ้องฉางอันตาเขม็ง นัยน์ตาไร้ซึ่งความเอ็นดูอย่างที่เคย
นางคิดมาตลอดว่าในวังหลวงที่ใหญ่โตแห่งนี้มีเพียงฉางอันที่เข้ากับนางได้ ที่ผ่านมานางก็ดูแลน้องสาวอย่างดีมาโดยตลอด
แต่นางคาดมิถึงว่าฉางอันจักกล้าใช้ความเชื่อใจมาทำร้ายนางได้ !
ในเมื่ออันหลิงเกอสามารถคิดได้ อันผิงกงจู่เมื่อลองไตร่ตรองให้ดีแล้วก็ย่อมคิดออกได้เช่นกัน
เมื่อคิดว่าฉางอันวางแผนยืมมือนางไปทำร้ายอันหลิงเกอเพื่อใช้เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนของนาง อันผิงกงจู่ก็รู้สึกราวกับมีเข็มทิ่มแทงอยู่ในลำคอ จักถอนก็มิออก จักกลืนก็มิลง ทำให้รู้สึกทรมานมิน้อย
แต่สิ่งที่ทำให้ทรมานยิ่งกว่าก็คือการโดนแทงข้างหลังอย่างแสนสาหัสและทันใดนั้นอันผิงกงจู่ก็หัวเราะเยาะตนเอง ที่จริงจักนับว่านางโดนฉางอันแทงข้างหลังก็มิได้ เพราะความจริงแล้วนางถูกฉางอันใช้เป็นแค่หมากตัวหนึ่งต่างหาก
รอจนหมากเปื้อนเลือด ฉางอันก็จักทำลายหมากตัวนี้ทิ้งเสีย ช่างเป็นแผนการที่ร้ายกาจเสียจริง ! แผนการที่แยบยลและมิมีวันหวนกลับมาทำร้ายผู้บงการ
แยบยลถึงขนาดใช้แผนอำพรางมากมาย เพียงแค่ต้องการทำลายชื่อเสียงและตำแหน่งของนาง เสียแรงที่นางเชื่อใจฉางอันถึงเพียงนี้ !
วันนี้รอฉางอันนำตัวนางกำนัลคนนั้นออกมาก่อนเถิด นางจักเป็นคนเปิดเผยแผนการของฉางอันต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็ไปทูลให้หมู่โฮ่วทรงทราบและมิใช่แค่เหยียบฉางอันให้จมดินเท่านั้น แต่นางจักทำให้ฉางอันมิมีทางฟื้นขึ้นจากหลุมได้อีกตลอดชีวิต