พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 278 คนตายพูดมิได้
ตอนที่ 278 คนตายพูดมิได้
อันผิงกงจู่เป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในวังหลวง เมื่อมาสอบสวนฉางอันกงจู่เช่นนี้ นางกำนัลในตำหนักต่างก็เกรงกลัวจนตัวสั่น พากันยืนก้มหน้าทำตัวลีบอยู่ด้านข้างด้วยเกรงว่าไฟโทสะระหว่างทั้งสองจักตกใส่ศีรษะของพวกนางแทน
เมื่อได้ยินอันผิงกงจู่ให้ไปเรียกนางกำนัลต้นเรื่องมา เหล่านางกำนัลในตำหนักก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะคนที่อันผิงกงจู่ต้องการพบมิใช่พวกนาง ขอแค่ปัญหามิเข้าตัว ผู้ใดจักสนใจว่าคนอื่นเป็นเช่นไร ?
จากนั้นสายตาของฉางอันก็จ้องมองไปทางนางกำนัลคนหนึ่งของอันผิงกงจู่ที่เดินไปยังห้องของนางกำนัลต้นเรื่องอย่างคุ้นชิน
ที่นี่เป็นตำหนักของนางแท้ ๆ แต่อันผิงทำราวกับนางมิได้อยู่ตรงนี้ !
แววตาของฉางอันมีไฟโทสะวูบผ่าน นางเกลียดท่าทางเย่อหยิ่งเช่นนี้ของอันผิงเป็นที่สุด องค์หญิงทั้งหลายในวังล้วนต้องยอมก้มหัวและยอมอ่อนข้อให้อันผิงตลอดเวลา
หากอันผิงมิได้กำเนิดจากฮองเฮาแล้วยังมีสิ่งใดควรค่าให้โอ้อวดอีกเล่า ?
หากเทียบกันที่ความงามแล้ว อันผิงน่ารักสดใส ส่วนนางไร้เดียงสาน่าทะนุถนอมก็ถือว่ามิมีใครเหนือกว่าใคร แต่หากเทียบกันที่ฐานะ อันผิงเป็นองค์หญิง ตัวนางเองก็เป็นองค์หญิงเช่นกัน เพียงเพราะหมู่เฟยของนางมิได้มีฐานะสูงส่งเช่นฮองเฮา นางกลับต้องคอยเป็นลูกไล่ให้อีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ ?
นางมีตำแหน่งสูงสู้เหล่าองค์ชายทั้งหลายในวังมิได้ก็มิเป็นไร แต่อันผิงกับนางล้วนเป็นองค์หญิง แล้วเหตุใดอันผิงถึงมีฐานะสูงส่งกว่า ?
เมื่อคิดเช่นนั้น แววตาของฉางอันกงจู่ก็เป็นประกายขึ้นแล้วหันไปส่งสายตาให้แม่นมที่อยู่ข้างกาย แม่นมผู้นั้นรู้ความหมายเป็นอย่างดีจึงถอยไปทันที
แค่ชั่วพริบตาที่แม่นมออกไปก็มีนกแก้วตัวหนึ่งบินมาจากที่ใดมิทราบได้ มันส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วจากนั้นก็บินไปทางที่แม่นมคนนั้นอยู่
“ไป ไป เจ้านกสมควรตาย ! ”
แม่นมถูกนกตัวนั้นบินวนรอบศีรษะอยู่สองรอบจึงยกมือขึ้นปัดไล่ ปากก็เปล่งคำก่นด่านกตัวนั้นออกมามิหยุด
ทุกคนกำลังรอนางกำนัลองค์หญิงอันผิงไปนำตัวบุคคลสำคัญมาที่นี่จึงมิมีผู้ใดให้ความสนใจนกตัวนั้นมากนัก
แต่เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว นางกำนัลคนเดิมก็วิ่งกลับเข้ามาอย่างตื่นตระหนก
“คนที่ข้าให้นำตัวมาเล่า ? ”
อันผิงกงจู่มองไปยังด้านหลังของนางกำนัล เมื่อมิเห็นเงาใครตามหลังมาสักคน ใบหน้าก็เคร่งขรึมทันที
นางกำนัลรู้ตัวดีว่าทำงานมิสำเร็จจึงคุกเข่าลงพื้น “ทูลกงจู่ นางผู้นั้น…ตอนนี้…ตอนนี้ตายแล้วเพคะ ! ”
นางกำนัลกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก ภาพเท้าของนางกำนัลคนนั้นที่แกว่งไปมา ใบหน้าเขียวคล้ำแล้วยังมีลิ้นจุกปาก ทุกอย่างยังติดตาของนางจนถึงตอนนี้
ร่างนั้นมิมีเลือดไหลรินออกมาแม้แต่หยดเดียว แต่สามารถทำให้คนที่ได้เห็นต้องตกใจกลัวยิ่งนัก
ตายแล้วหรือ ?
อันหลิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและหันไปมองฉางอันกงจู่
หากนางกำนัลคนนั้นอยู่ที่นี่ วันนี้ฉางอันกงจู่ต้องโดนพี่สาวจับได้และต้องโดนเอาคืนอย่างแน่นอน
ทว่าช่างประจวบเหมาะอันใดเช่นนี้ พยานคนสำคัญมาตายลงอย่างกะทันหันพอดี ต่อให้อันผิงกงจู่สงสัยว่าฉางอันมีเจตนาร้าย แต่ก็ไร้หลักฐานมายืนยันและมิสามารถทำอันใดอีกฝ่ายได้
“ตายได้อย่างไร ? ” ดวงตากลมโตของอันผิงกงจู่จ้องเขม็งไปที่นางกำนัล ใบหน้ามิมีร่องรอยของความสดใสร่าเริงอีกแล้ว แต่มีความน่าเกรงขามเยี่ยงเชื้อพระวงศ์ปรากฎขึ้น “ที่นี่คือวังหลวง ผู้ใดกล้าสังหารนางกำนัลถึงในวัง ? ”
แม้ถามนางกำนัลของตน แต่คำนี้กลับพุ่งเป้าไปที่ฉางอัน เห็นได้ชัดว่าอันผิงกำลังสงสัยอีกฝ่ายที่อาจส่งคนไปสังหารพยานคนสำคัญก็เป็นได้
ฉางอันกงจู่ก็มีท่าทีตกอกตกใจ ใบหน้าไร้เดียงสามิเผยพิรุธอันใดแม้แต่น้อย “อยู่ดี ๆ คนจักตายได้เยี่ยงไร เจ้าแน่ใจว่ามองละเอียดดีแล้วใช่หรือไม่ ? ”
นางกำนัลที่คุกเข่าอยู่คือคนของอันผิงกงจู่ นางก้มหน้าลง ร่างกายยังสั่นเทา แสดงให้เห็นว่ายังตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่
“ทูลฉางอันกงจู่ เมื่อครู่ตอนที่หม่อมฉันไปตามนาง พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นร่างของนางแขวนอยู่กับคานแล้วเพคะ”
ใบหน้าของนางกำนัลที่กล่าวก็ซีดแล้วซีดอีก ริมฝีปากสั่นเทา
นางกำนัลที่ตายไปนั้นสายตายังจ้องเขม็ง ราวกับนอนตายตามิหลับอย่างไรอย่างนั้น เพียงแค่มองปราดเดียวก็ทำให้คนที่ไปพบร่างต้องนอนฝันร้ายไปอีกหลายคืนเป็นแน่
“ร่างที่แขวนอยู่บนคานใช่อาจูแน่หรือ ? ”
“ใช่เพคะ” นางกำนัลพยักหน้ารับพร้อมกลืนน้ำลายลงคอ เพราะเมื่อหลายวันก่อนนางยังเห็นอาจูเล่าเรื่องสนุกให้ฉางอันกงจู่ฟัง จนเจ้านายหัวเราะอย่างสนุกสนาน ผู้ใดจักคิดว่าผ่านไปมิกี่วันอาจูจักกลายเป็นผีเฝ้าวังหลวงแห่งนี้ไปแล้ว
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ อันผิงกงจู่ก็ตบโต๊ะที่อยู่ข้างกายด้วยความโมโห ทำให้คนที่กำลังตกตะลึงได้สติขึ้นมา นางมองฉางอันครู่หนึ่งจากนั้นก็ออกคำสั่งกับนางกำนัล “พาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ ! ”
“กงจู่โปรดช้าก่อนเพคะ” อันหลิงเกอขวางเอาไว้
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉางอันกงจู่ที่อยู่ด้านข้างก็ค่อย ๆ กำหมัดแน่น เพียงแต่มือคู่นั้นซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อจึงมิมีผู้ใดเห็น
อันหลิงเกอคงมิไปรู้อันใดเข้าหรอก
มิใช่ครั้งแรกที่ฉางอันให้คนไปทำเรื่องเช่นนี้ อีกอย่างเรื่องนี้ถือเป็นความลับที่มิน่ามีผู้ใดล่วงรู้ได้
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น มือที่อยู่ในแขนเสื้อของฉางอันจึงค่อย ๆ คลายออก นางเพิ่งปลอบใจตนเองได้เพียงครู่เดียวก็ได้ยินอันหลิงเกอกล่าวว่า “หม่อนฉันรู้สึกว่านกแก้วตัวเมื่อครู่น่าสงสัยยิ่งนักเพคะ มิทราบว่ากงจู่สามารถให้คนไปตามจับนกแก้วตัวนั้นกลับมาได้หรือไม่เพคะ ? ”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ อันผิงกงจู่ก็จำนกแก้วตัวนั้นได้ว่ามันเป็นนกที่องค์ชายห้าซึ่งเป็นพระเชษฐาของฉางอันซื้อให้น้องสาวเป็นของขวัญ ฉางอันจึงรักนกตัวนั้นมาก
ประเดี๋ยวก่อน !
เพียงครู่เดียวอันผิงกงจู่ก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน
นกแก้วตัวนั้นเป็นนกที่องค์ชายห้ามอบให้ฉางอัน นางยังเคยนำนกตัวนั้นไปอวดตนด้วยซ้ำ ทั้งยังชมว่านกตัวนั้นฉลาดและเชื่องมากเพียงใด
แต่เมื่อครู่แม่นมคนนั้นกลับไล่นกแก้วอย่างเอาเป็นเอาตายพร้อมก่นด่ามิหยุดว่า ‘สมควรตาย’ อีกด้วย ส่วนฉางอันกลับมิได้สนใจอันใด ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก
ในขณะที่อันผิงกำลังสงสัยอยู่นั้น อันหลิงเกอก็กล่าวออกมาว่า
“แม่นมบอกว่านกแก้วตัวนั้นสมควรตาย แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นนางกำนัลที่มีนามว่าอาจูตาย คงมิใช่เพราะนกแก้วตัวนั้นโดนสาปแล้วส่งต่อคำสาปไปยังนางกำนัลผู้นั้นหรอกนะเพคะ นกแก้วประหลาดเช่นนี้ กงจู่มิควรปล่อยมันบินไปทั่วเพคะ”
อันหลิงเกอพูดเรื่องพิสดารที่ชวนขบขันออกมา ตั้งใจโยงให้นกแก้วและอาจูเกี่ยวข้องกันแล้วก็ได้เห็นสีหน้าของฉางอันเปลี่ยนไปจริง ๆ
ต่อให้ร้ายกาจมากเพียงใด ฉางอันก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุ 11 ปี แม้วางแผนแยบยลแค่ไหนก็ยังมิเก่งพออยู่ดี
ส่วนอันผิงกงจู่ที่ได้ฟังย่อมมิเชื่อเรื่องที่อันหลิงเกอบอกว่านกแก้วตัวนั้นถูกคำสาปแล้วส่งต่อไปยังอาจูแน่นอน ทว่าด้วยคำพูดนี้ก็ไปสะกิดให้อันผิงคิดบางอย่างขึ้นมาได้
หากคำที่แม่นมพูดกับนกแก้วว่า ‘สมควรตาย’ เป็นคำสั่งที่ให้ใครบางคนลงมือกับอาจูเล่า ?
แสดงว่าต้องมีคนคอยติดตามอาจูอย่างลับ ๆ เมื่อได้รับคำสั่งจึงเอาชีวิตนางทันที
จากนั้นอันผิงกงจู่ก็มองฉางอันอย่างจับผิด มิได้เอ่ยถึงการตายของอาจู ทว่าเปลี่ยนมาถามฉางอันด้วยรอยยิ้มแทน “ฉางอัน ข้าจำได้ว่านกแก้วตัวนั้นพี่ชายของเจ้ามอบให้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าให้คนไปนำนกแก้วออกมาที”