พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 288 ความสัมพันธ์
ตอนที่ 288 ความสัมพันธ์
ตอนที่นางอยู่บนรถม้าแล้วเห็นมู่จวินฮานควบอาชาห้อตะบึงไปทางประตูเมืองนั้น มิบอกก็รู้ว่าเขากำลังออกจากเมืองจิง
เพียงแต่ใบที่หน้าร้อนรนของมู่จวินฮานทำให้อันหลิงเกอรู้สึกมิสบายใจราวกับจักเกิดเรื่องบางอย่างที่มิดีขึ้น ผู้ใดจักคิดว่าเมื่อเอ่ยถามชางเยว่ อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า ใบหน้านิ่งขรึมมิบ่งบอกอารมณ์อันใด “ท่านมู่ซื่อจื่อเพียงแค่ให้คนจัดเตรียมบ่าวมาอยู่ในจวนโหวเพื่อให้บ่าวคอยคุ้มครองคุณหนู ส่วนเรื่องอื่นบ่าวมิได้ถามเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอถึงกับอึ้งไปชั่วขณะและรู้สึกพูดมิออกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
หมายความว่าชางเยว่ที่ดูกล้าหาญและตรงไปตรงมาคนนี้นอกจากหน้าที่ของตนแล้วก็จักมิสนใจอันใดอีก แม้แต่ความเคลื่อนไหวของเจ้านายเยี่ยงนั้นหรือ
ชางเยว่ราวกับอ่านสีหน้าท่าทางของอันหลิงเกอออก นางจึงกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ท่านมู่ซื่อจื่อบอกไว้ว่าตั้งแต่นี้ต่อไป คุณหนูถือเป็นเจ้านายของบ่าว บ่าวจักมีเพียงคุณหนูเป็นนายคนเดียวเจ้าค่ะ”
แม้ใบหน้าของนางยังคงเรียบนิ่ง ทว่าคำที่เอ่ยออกมาทำให้จิตใจของอันหลิงเกอสั่นไหว
“ดังนั้นเรื่องที่มู่ซื่อจื่อออกจากเมือง เจ้าเองก็มิทราบสาเหตุหรือ ? ” อันหลิงเกอมิถามที่มาที่ไปและหน้าที่รับผิดชอบของอีกฝ่ายต่อ ทว่าเปลี่ยนเป็นถามเรื่องของมู่จวินฮานแทน
ครั้งนี้ท่าทางของชางเยว่ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย “องครักษ์เงาหากถูกส่งมอบให้ผู้อื่นแล้วก็ถือว่าเป็นลูกน้องของผู้นั้น หากมิมีคำสั่งจากนายใหม่ก็มิสามารถทำอันใดโดยพลการเจ้าค่ะ”
คำกล่าวนี้ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่าหากอันหลิงเกอสั่งให้นางไปสืบข่าวของมู่จวินฮาน นางก็สามารถไปทำให้ได้ทันที
อันหลิงเกอพอใจในท่าทีของชางเยว่เป็นอย่างมาก ในเมื่อมู่จวินฮานมอบชางเยว่ให้อยู่ภายใต้การดูแลของนางแล้ว ชางเยว่ก็เท่ากับเป็นสาวใช้ของตน หากอีกฝ่ายแสดงท่าทีเย่อหยิ่งหรือมิยอมทำตามคำสั่ง มิถึงครึ่งวันอันหลิงเกอคงส่งนางกลับไปอย่างแน่นอน
ทว่าท่าทีที่แสดงออกมานั้นเหมาะสมยิ่งนัก มิได้เอาใจอันหลิงเกอจนเกินไปและมิได้มีท่าทีอึดอัดยามต้องเปลี่ยนนายใหม่
แม้เป็นคนพูดน้อยแต่ก็นับว่าเป็นคนฉลาดเอาการทีเดียว
ชางเยว่ที่โดนอันหลิงเกอติดป้ายว่าเป็นคนพูดน้อย แต่ยามที่ได้พบหน้ากับอันหลิงเฉว่ในเวลาอันใกล้นี้ ฝีปากแสนร้ายกาจของนางจักทำให้อันหลิงเกอต้องตกตะลึงอย่างคาดมิถึง
ดังนั้นอันหลิงเกอมิได้ถามถึงเรื่องมู่จวินฮานอีก เพียงคิดอยู่ในใจว่าจักเขียนจดหมายถึงเขาวันไหนดี หากส่งไปที่จวนอ๋องมู่ย่อมมีคนนำไปส่งต่อจนถึงมือของมู่จวินฮานได้แน่นอน
ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำเสียก่อน
“เจ้าไปที่เรือนท่านย่ากับข้าหน่อย”
เพราะเรื่องระหว่างองค์ไทเฮาและมู่หวางเฟย นางจึงต้องไปถามฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อความกระจ่าง
เมื่อได้ฟังคำสั่งของอันหลิงเกอ ชางเยว่ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการพานางไปเปิดตัวกับทุกคนจึงรีบส่งเสียงตอบรับแล้วเดินตามอันหลิงเกอไปยังเรือนชิงเฟิง
พวกนางเพิ่งก้าวออกจากลานของเรือนฉีอู๋ก็เห็นสาวใช้สามสี่คนที่กำลังกวาดพื้นอยู่ค่อย ๆ วางงานในมือลง จากนั้นก็วิ่งไปทางเรือนอื่นทันที
มิต้องบอกก็รู้ว่าสาวใช้เหล่านี้เป็นคนของผู้อื่นในจวนที่ส่งมาเข้าใกล้เรือนฉีอู๋
เพียงแต่นางป้องกันเรือนฉีอู๋ไว้อย่างแน่นหนา หลี่ซื่อมิมีวิธีเข้ามาแทรกแซงเรือนของนางได้จึงทำได้แค่ให้คนมาจับตาอยู่ภายนอก คอยแจ้งความเคลื่อนไหวให้หลี่ซื่อทราบเพียงเท่านั้น
ชางเยว่เห็นหางตาของอันหลิงเกอกระตุกก็รู้ได้ว่าเจ้านายก็สังเกตเห็นคนพวกนั้นเช่นกันแต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา นางจึงทำได้เพียงเม้มปากแล้วเดินตามอันหลิงเกอไป
“โอ้ เกอเอ๋อกลับมาแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่านับตั้งแต่โดนอันหลิงเฉว่วางยาพิษครั้งก่อน ร่างกายก็เจ็บป่วยจึงมิค่อยออกไปข้างนอกมากนัก
หากมิมีเรื่องอันใด นางก็มักอยู่แต่ในเรือนและรู้สึกเบื่อมิน้อย
ยามนี้เมื่อเห็นอันหลิงเกอมาหา ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา มือข้างหนึ่งโบกให้สาวใช้ที่กำลังทุบขาให้ตนออกไปก่อน
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็หยิบหมอนผ้าสีน้ำเงินเข้มปักลายดอกโบตั๋นด้วยไหมสีทองมาวางรองไว้ที่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่า ทำให้อีกฝ่ายนั่งสบายมากขึ้น
สายตาพึงพอใจของฮูหยินผู้เฒ่าฉายชัดขึ้นมา
ในบรรดาหลานสาวทั้งหมด อันหลิงเกอมีรูปร่างหน้าตางดงามที่สุด บุคลิกท่าทางก็มิมีพี่น้องคนใดเทียบได้
เดิมทีนางคิดว่าอันหลิงเกอที่โดนถอนหมั้นแล้วคงหมดโอกาสกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้อีก
แต่ผู้ใดจักรู้ว่าเกอเอ๋อเก่งกาจถึงเพียงนี้ สามารถหาตำรับยาช่วยราษฎรเอาไว้ได้มากมาย สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่จนได้รับการแต่งตั้งเป็นหมอหญิงจากฮ่องเต้
ได้รับเกียรติเช่นนี้ ทั้งยังได้รับความเชื่อพระทัยจากฮ่องเต้ นางจักไปกังวลเรื่องถอนหมั้นทำไมกัน ?
“ท่านย่า ที่หลานมาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากถามเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอจัดหมอนพิงหลังให้ฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้วจึงยืดตัวขึ้นแล้วนั่งบนเก้าอี้ที่สาวใช้ยกมาให้พลางกล่าวออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจพร้อมทำท่าทางน้อยอกน้อยใจขึ้นมา “ย่าคิดว่าที่เจ้ากลับมาถึงจวนก็รีบมาหาทันทีเพราะเจ้าคิดถึงย่าตลอดเวลาเสียอีก ที่แท้หากไร้เรื่องร้อนใจก็คงมิมา ! ”
“ท่านย่า หลานจักมิคิดถึงท่านได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ” ขนตาที่เรียงกันเป็นแพของอันหลิงเกอกระพริบขึ้นลง ดวงตาทอประกายสุกสกาวราวกับดวงดาว “พอกลับมาถึงจวนหลานก็รีบมาหาท่านเป็นคนแรก นี่ยังมิเรียกว่าคิดถึงท่านอีกหรือเจ้าคะ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียง ฮึ ออกมาเบาๆ จากนั้นจึงมองไปยังอันหลิงเกอแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “กล่าวมาเถิด เจ้ามาที่นี่มีเรื่องอันใด ? ”
ต่อให้นางบอกว่าอันหลิงเกอมิมีเรื่องก็คงมิมาเยี่ยม แต่ที่จริงแล้วนางรู้ดีว่าหลังจากอันหลิงเกอเป็นหมอหญิงในสำนักหมอหลวงก็ยุ่งมากเพียงใด คาดว่าภายในวังคงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจึงได้มีท่าทีเคร่งเครียดเช่นนี้
อันหลิงเกอยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ท่านย่าเจ้าคะ ท่านลองทายสิว่าวันนี้หลานพบผู้ใดที่ตำหนักซือหนิงขององค์ไทเฮา ? ”
“ผู้ใดหรือ ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าถามกลับทันที มิรู้ว่าอันหลิงเกอกล่าวถึงเรื่องใดกันแน่
ขณะที่นางกำลังมึนงงอยู่นั้น อันหลิงเกอก็กล่าวต่อ “หลานพบมู่หวางเฟยที่ตำหนักของไทเฮาทั้งยังได้ตรวจชีพจรให้นางด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินอันหลิงเกอกล่าวออกมา รอยยิ้มที่มีความสุขของฮูหยินผู้เฒ่าก็จางลงในพริบตา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
“มู่หวางเฟยสุขภาพมิแข็งแรง หลายปีมานี้แม้แต่งานเลี้ยงที่จัดขึ้นในวังก็ยังมิเข้าร่วมแล้วเหตุใดไปอยู่ที่ตำหนักของไทเฮาได้ ? ”
อันหลิงเกอพูดตามความคาดเดา “หลานได้ยินว่าท่านอ๋องมู่ชนะการรบศึกแรกที่ม่อเป่ย ฮ่องเต้และไทเฮากลัวว่ามู่หวางเฟยอยู่ที่จวนเพียงคนเดียวจักเหงาจึงรับตัวเข้าวังเพื่อจักได้สะดวกในการดูแลสุขภาพของมู่หวางเฟยเจ้าค่ะ”
“อย่าพูดเหลวไหล”
ฮูหยินผู้เฒ่าถลึงตาใส่อันหลิงเกอ นางเข้าใจความหมายของหลานสาวดี ต่อให้กล่าวน่าฟังเพียงใด ทว่าความจริงแล้วอันหลิงเกอต้องการสื่อว่านี่เป็นเพียงวิธีกักขังมู่หวางเฟยไว้เท่านั้น
อันหลิงเกอเพียงส่งเสียง “อ้อ” ขึ้นมา จากนั้นจึงถามต่อ “เช่นนั้นไทเฮาทรงมีความสัมพันธ์อันใดกับจวนอ๋องมู่หรือเจ้าคะท่านย่า ? ”
นางรู้มาจากมู่จวินฮานเพียงเล็กน้อยว่าไทเฮาโปรดปรานเขามาก แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของมู่หวางเฟยแล้ว อันหลิงเกอมิคิดว่าที่ไทเฮาทำจักเป็นเรื่องดีต่อจวนอ๋องมู่แม้แต่น้อย
ซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าอายุปูนนี้แล้วย่อมรู้เรื่องดี
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่ามองไปโดยรอบแล้วมาหยุดที่อันหลิงเกอ เห็นอันหลิงเกอจ้องมาโดยมิกระพริบตา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
“มารดาของท่านอ๋องมู่ที่สิ้นไปก็คือพี่น้องแท้ ๆ ของไทเฮาองค์ปัจจุบัน”