พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 293 บุคคลอันตราย
ตอนที่ 293 บุคคลอันตราย
การเคลื่อนไหวของไป๋หลี่เฉินเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อันหลิงเกอยังมิทันได้ตอบโต้ใด ๆ เขาก็มาหยุดที่เบื้องหน้าของนางแล้ว
มือแกร่งที่เชยคางของนางอยู่นั้นมีนิ้วมือเรียวยาวเห็นเส้นเลือดจาง ๆ สมเป็นมือของบุรุษเพศ
ทว่าตอนนี้อันหลิงเกอไร้เวลามาชื่นชมความงามของมือคู่นั้น นางก้าวถอยหลังไปทันทีด้วยความเดือดดาลพร้อมยื่นมือออกไปปัดมือข้างนั้นทิ้ง
เสียง เพียะ ! ดังขึ้น ทำให้ไป๋หลี่เฉินถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย
“คุณชายไป๋หลี่ โปรดรักษามารยาทด้วย”
ขณะที่กล่าวประโยคนี้ออกมา สีหน้าของนางแสดงให้เห็นถึงความเย็นชาอย่างชัดเจน
ใบหน้าที่งดงามตอนนี้มิมีรอยยิ้มอันใดประดับอยู่อีกแล้ว แววตาทอประกายความเย็นชาออกมา
ท่าทีของอันหลิงเกอเย็นชาเสียจนรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของไป๋หลี่เฉินหุบลง
อาจเพราะมือของเขาโดนนางปัดออกเมื่อสักครู่จึงทำให้ตอนนี้ดวงตาของไป๋หลี่เฉินฉายแววอันตราย
“สาวน้อย เจ้าใจกล้ามิเลวเลย ! ”
มุมปากของเขายกขึ้น คำที่เปล่งออกมาช่างเย็นยะเยือกและร้ายกาจยิ่งนัก
แต่อันหลิงเกอมิได้หวั่นเกรงต่อท่าทีของเขา มุมปากของนางยิ้มเยาะ “ข้าเป็นคนใจกล้าอยู่แล้ว หากคุณชายไป๋หลี่มิล่วงเกินข้าเช่นนี้ มีหรือที่ข้าจักกล้าปัดมือท่าน”
คำกล่าวของนางแฝงไว้ด้วยการเยาะเย้ย ขาดแค่พูดกับไป๋หลี่เฉินตามตรงว่าเป็นเพราะเขามาล่วงเกินนางจนนางต้องปัดมือเขาออกอย่างแรง
ไป๋หลี่เฉินส่งเสียงเหอะออกมา ประมุขหอสดับพิรุณเช่นเขาเป็นบุคคลที่คนทั่วยุทธภพให้เกียรติ กลับโดนสาวน้อยคนหนึ่งกล่าววาจาเสียดสีก็นับว่าเป็นเรื่องที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ครั้งก่อนที่เขาโดนค่ายกลโจมตีอีกทั้งยังถูกส่งตัวไปให้ทางราชการด้วยความอับอายนั้นก็เพราะเขามิอยากลงมือ แค่อยากรู้ว่าสตรีคนนี้คิดทำสิ่งใดกันแน่
แต่ครั้งนี้…
นัยน์ตาของไป๋หลี่เฉินหรี่ลงพลางก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งด้วยท่าทีคุกคาม
อันหลิงเกอจ้องเขาอย่างระแวดระวัง ดวงตาดำขลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“เจ้าระวังตัวถึงเพียงนี้ด้วยเหตุใด ข้าหาได้ล่วงเกินเจ้าไม่” ไป๋หลี่เฉินหัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลามีเสน่ห์เพิ่มขึ้นมิน้อยเลยทีเดียว
ทว่าการกระทำและคำพูดของเขาตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าที่ขยับใกล้เข้ามาอีกครั้งทำให้อันหลิงเกอต้องขมวดคิ้วและเตรียมสะบัดยาที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อออกไป
ไป๋หลี่เฉินที่ครั้งก่อนเคยติดกับมาแล้ว เมื่อเห็นท่าทางของนางก็รีบกดมือนางเอาไว้ทันที
มือทั้งสองข้างของอันหลิงเกอที่กำลังจักโปรยยาออกไปถูกจับไว้แน่น เป็นเหตุให้ใบหน้าของนางแดงก่ำจนแยกมิออกว่ากำลังเขินอายหรือโกรธอยู่กันแน่
“ปล่อยข้า ! ”
ดวงตาสีดำขลับเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ท่าทางเช่นนี้ทำให้บุรุษตรงหน้ารู้สึกสนุกมากขึ้นไปอีก
สาวน้อยนางนี้เวลาโกรธช่างน่ารักเสียจริง
ไป๋หลี่เฉินมิเพียงมิยอมปล่อยมืออันหลิงเกอ แต่กุมมือคู่นั้นแน่นเข้าไปอีก
มือที่นุ่มนวลของนางถูกเขากอบกุมเอาไว้ ช่างเรียบเนียนและนุ่มละเอียดสมเป็นมือของสตรีจนทำให้ดวงตาของไป๋หลี่เฉินเปล่งประกายเข้ม
มิปล่อยใช่หรือไม่ ?
อันหลิงเกอพยายามดึงมือออกแต่สู้แรงของคนตรงหน้ามิได้ มิว่าพยายามดึงมากแค่ไหนก็มิสามารถเอามือออกจากการกอบกุมได้เลย
แต่แล้วทันใดนางก็ยิ้มออกมา ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูอันตรายและเปี่ยมเลศนัยคล้ายกับครั้งก่อนที่ไป๋หลี่เฉินติดกับดักอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋หลี่เฉินเห็นรอยยิ้มนั้นก็เริ่มสังหรณ์ใจบางอย่าง สัญชาตญาณจากการท่องยุทธภพมานานทำให้เขารีบปล่อยมือของอันหลิงเกอและก้าวถอยหลังทันที
ทว่ามิทันการเสียแล้ว
มิรู้ว่าอันหลิงเกอสาดยาใส่เขาตั้งแต่เมื่อไร
ยาพิษไร้สีไร้กลิ่นเริ่มออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายทุกส่วนของเขาค่อย ๆ เกิดอาหารคันขึ้นมา
“สาวน้อย เจ้าวางยาข้าอย่างนั้นหรือ ? ”
ไป๋หลี่เฉินกล่าวด้วยเสียงลอดไรฟันออกมา
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา อันหลิงเกอจึงเงยหน้ามองเขาตรง ๆ แล้วเผยยิ้มออกมาทันที เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะ “ถูกต้องแล้ว ที่นี่เป็นเรือนของข้า ข้าอยากใช้ยาอันใดก็ย่อมได้ ท่านต่างหากที่เข้ามาหาเรื่องข้าเอง”
หากมิใช่เพราะไป๋หลี่เฉินบุกเข้าหานางก่อนแล้วจักโดนยาพิษได้เยี่ยงไร ?
นางบอกให้เขาปล่อยมือแล้ว ทว่าเขาก็มิฟังเองแล้วจักให้นางทำอย่างไร
ไป๋หลี่เฉินคล้ายได้ยินเสียงกรามที่ขบกันของตน เขามิทันสังเกตเห็นอันหลิงเกอใช้ยาแม้แต่น้อย ทว่าความรู้สึกผิดปกติในร่างกายย่อมเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าเขาโดนวางยาเข้าอีกแล้ว !
ไป๋หลี่เฉินมองใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุขของอันหลิงเกอ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ไปยื่นอยู่ตรงหน้านางแล้ว
อย่างไรตอนนี้เขาก็โดนวางยาไปแล้ว จักหลบหนีก็คงสายเกินแก้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงมิหลบหนี แต่กลับยื่นมือออกไปเพื่อจับอันหลิงเกอที่อยู่ตรงหน้าให้ได้
อันหลิงเกอรู้ทันจึงหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็วทำให้ไป๋หลี่เฉินคว้าได้เพียงอากาศ
แต่นางก็มิได้ว่องไวเท่าไรนัก จักสู้ความเร็วของไป๋หลี่เฉินได้อย่างไร ?
ไป๋หลี่เฉินที่ครั้งแรกคว้านางไว้มิได้ ใบหน้าของเขามิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย จากนั้นจึงยื่นมือออกไปอีกครั้งและก็รวดเร็วกว่าครั้งแรกมาก
อันหลิงเกออยากหลบหลีกก็หลบมิพ้น
มือทั้งสองข้างถูกจับเอาไว้จนแน่น ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งมิบ่งบอกอารมณ์ใดของอันหลิงเกอบัดนี้แปรเปลี่ยนทันที
“สาวน้อย เจ้ารีบนำยาถอนพิษออกมาให้ข้าดีกว่า”
ขณะที่ไป๋หลี่เฉินกล่าวประโยคนั้นออกมา ดวงตาของเขาก็ฉายแววอดทนอดกลั้นอย่างเห็นได้ชัดว่ายากำลังทำให้เขาทรมานมิน้อย
ยาที่อันหลิงเกอคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันตัวย่อมมิใช่ยาธรรมดาทั่วไป ต่อให้ไป๋หลี่เฉินมีวรยุทธสูงส่ง มีกำลังภายในล้ำลึกก็มิสามารถอดทนได้นานนัก
ดวงตาสีดำขลับของอันหลิงเกอเปล่งประกายระยับพลางจ้องมองไปยังเหงื่อที่เกาะอยู่ตามหน้าผากของเขาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายใกล้ทนมิไหวแล้วจึงได้ขยับมือเล็กน้อย
ไป๋หลี่เฉินเห็นดังนั้นก็ปล่อยมือของนางข้างหนึ่งให้เป็นอิสระเพื่อให้นางหยิบยาถอนพิษออกมา
จากนั้นก็มีขวดยาขนาดเล็กขวดหนึ่งกลิ้งลงจากแขนเสื้อแล้วหล่นมาอยู่ในมือของอันหลิงเกอ
นางยังมิทันได้กล่าวสิ่งใด ไป๋หลี่เฉินก็ใช้มืออีกข้างคว้าขวดยาไปทันที ท่าทางแตกต่างจากตอนที่บุกเข้ามาใหม่ ๆ โดยสิ้นเชิง
มิรู้เหตุใดอันหลิงเกอจึงรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก เหมือนว่ายาพิษทำให้เกิดอาการคันจักได้ผลดีกว่ายาสลบเสียอีก ครั้งก่อนตอนที่ไป๋หลี่เฉินถูกคนมัดแล้วคุมตัวออกไป เขายังรักษาภาพลักษณ์ไว้ได้ แต่ครั้งนี้มิสนแม้แต่ภาพลักษณ์ด้วยซ้ำ
หลังกลืนยาเม็ดหนึ่งลงไปก็รู้สึกว่าอาการคันที่กระจายอยู่ทั่วร่างถูกบรรเทาได้เล็กน้อยจึงทำให้ใบหน้าของเขาดูดีตามไปด้วย
“ปล่อยข้าได้หรือยัง ? ”
สายตาของอันหลิงเกอมองไปยังมือที่ถูกเขาจับเอาไว้ ใบหน้าแฝงด้วยความเย็นชา
ไป๋หลี่เฉินมิใช่คนไร้ยางอายถึงเพียงนั้น เดิมทีเขาคิดล่วงเกินนาง สุดท้ายถูกนางเล่นงานเข้าจนได้จึงยอมปล่อยมือ
“นึกมิถึงว่าในตัวเจ้าจักมียาประหลาดมากมายเพียงนี้ วัน ๆ เจ้าเอาแต่คอยหวาดระแวงผู้คนรอบตัวหรือไร ? ”
เป็นถึงคุณหนูใหญ่บุตรีของท่านโหว แต่พกยาพิษที่ใช้ป้องกันตัวเอาไว้ ช่างน่าสนใจเสียจริง
อันหลิงเกอมิอยากตอบคำถามแต่พอเห็นท่าทางคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้ของไป๋หลี่เฉิน นางจึงหาเหตุผลมากล่าวอ้าง “เพราะข้าสนใจในวิชาแพทย์ อีกทั้งยาพวกนี้ก็ใช้ป้องกันตัวได้ด้วย”
ฮึ ยาพวกนี้ก็เห็นอยู่ว่าถูกเตรียมไว้อย่างดี
ไป๋หลี่เฉินบ่นอยู่ในใจ นัยน์ตาของเขาส่องประกายบางอย่าง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มที่แฝงความนัยออกมา
“สาวน้อย เจ้ามิสงสัยหรือว่าข้ามาหาเพราะเหตุใด ? ”