พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 303 พบโดยบังเอิญ
ตอนที่ 303 พบโดยบังเอิญ
ด้านหน้าของสำนักศึกษาจิงตูมีเสียงอ่านหนังสือดังฉะฉานของเด็ก ๆ ลอยออกมา อันหลิงเกอที่เพิ่งลงจากรถม้าและกำลังเดินเข้าไป ทันใดนั้นก็มีชายสวมชุดคลุมยาวสีขาวปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเสียก่อน
ลู่จ้านมีรูปร่างสูงโปร่งและหุ่นพอดี เขามีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ดวงตาที่เปล่งประกายเผยความจริงจังออกมาทำให้ผู้คนที่พบเห็นเกิดความยำเกรง
“แม่ทัพน้อยลู่”
อันหลิงเกอยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวทักทายเขา
ลู่จ้านเมื่อเห็นอันหลิงเกอ ริมฝีปากที่เม้มแน่นของเขาก็ค่อย ๆ ยกขึ้นจนเกิดเป็นรอยยิ้ม ดวงตาฉายแววยินดีขึ้นทันที
มือที่แนบอยู่ข้างลำตัวของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความประหม่า แต่ใบหน้ามิได้แสดงความผิดปกติใดออกมา มีเพียงรอยยิ้มที่ส่งให้นางเท่านั้น “คุณหนูใหญ่อัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? ”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็รู้สึกว่าตนได้ถามคำถามที่ช่างโง่เง่าเสียจริง ที่นี่คือสำนักศึกษาจิงตู การที่อันหลิงเกอมาก็ถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
เมื่อนึกได้เช่นนั้นเขาจึงเปลี่ยนคำถามใหม่ “สำนักหมอหลวงงานยุ่งหรือไม่ ? ”
“มิยุ่งเจ้าค่ะ โชคดีที่ฝ่าบาททรงเห็นพระทัยให้ข้าเข้าออกวังได้ทุกเมื่อจึงค่อนข้างสบายหน่อย”
อันหลิงเกอยังมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่ผู้มีพระคุณอยู่ คนที่เปิดเผยและซื่อตรงเช่นลู่จ้านนั้นทำให้คนที่รู้จักบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกเคารพนับถือไปพร้อมกันได้
ลู่จ้านส่งเสียงรับคำขึ้นมา ก็จริง ตอนนี้นางเข้าไปอยู่ในสำนักหมอหลวงแล้วหาใช่นักเรียนอีก มิต้องมาเรียนหนังสืออีกแล้วทั้งยังมีสิทธิพิเศษในวัง ทำให้นางกลายเป็นสตรีชั้นสูงที่สบายที่สุดในเมืองหลวง
ขณะที่เขากำลังนึกได้เช่นนั้น สายตากลับเห็นรอยคล้ำจาง ๆ ใต้ตาของอันหลิงเกอ รอยคล้ำนั้นจางมากจนแทบมองมิเห็น หากมิใช่เพราะทั้งคู่ยืนใกล้กัน เขาก็คงมิสังเกตเช่นกัน
“คุณหนูใหญ่อันสีหน้ามิค่อยดีเท่าไร มีเรื่องมิสบายใจอันใดหรือไม่ ? บอกข้าได้ มิแน่ว่าบางทีข้าอาจช่วยท่านได้บ้าง”
ท่าทางของเขาแสดงออกถึงความใส่ใจเป็นอย่างมากจนอันหลิงเกอนึกถึงคำที่อาจูนำไปบอกอันผิงกงจู่ขึ้นมา
หากลู่จ้านชอบนางจริง…
คิ้วของอันหลิงเกอค่อย ๆ ขมวดขึ้น นัยน์ตาของนางฉายแววห่างเหินออกมาทันที
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น มิรบกวนแม่ทัพน้อยลู่จักดีกว่า”
มิว่าลู่จ้านชอบนางจริงหรือไม่ แต่การอยู่ให้ห่างจากเขาน่าจักเป็นเรื่องดีมากกว่า
ลู่จ้านเองก็รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่อยู่ ๆ ก็เย็นชาของอันหลิงเกอจนเขาก็อดรู้สึกแปลกใจมิได้
เขามิได้ทำอันใดผิด เหตุใดอันหลิงเกอจึงเย็นชาใส่เขาเช่นนี้ ?
แม้ในใจรู้สึกสงสัยมากเพียงใด ลู่จ้านกลับมิกล้าถามออกมาตามตรง
เขามิค่อยได้สนทนากับอันหลิงเกอเท่าไรนัก ส่วนใหญ่มักเป็นการเข้าไปยุ่งเรื่องของอันหลิงเกอโดยบังเอิญทั้งสิ้น มิแน่อาจทำให้นางรำคาญก็เป็นได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกดี ๆ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งจึงระวังไปหมดจนมิรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร
กว่าจักได้เจออันหลิงเกอมิใช่เรื่องง่าย แต่เขาคิดมิออกว่าจักกล่าวอันใดกับนางดี ความเงียบและบรรยากาศน่าอึดอัดค่อย ๆ ปะทุขึ้นระหว่างทั้งสองคน
ลู่จ้านกุมมือจนแน่น ใบหูเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้ารู้สึกคุยถูกคอกับคุณหนูใหญ่อันยิ่งนัก มิทราบว่าหากเชิญท่านไปคุยกันที่ริมทะเลสาบจักได้หรือไม่ ? ”
ประโยคเชิญชวนที่เกิดขึ้นค่อนข้างกะทันหัน หากเป็นคนอื่นเอ่ยปาก อันหลิงเกอคงมิใส่ใจ
แต่ลู่จ้านเคยช่วยชีวิตนางไว้ เขาเพียงต้องการเชิญนางไปคุยแค่มิกี่คำ หากนางปฏิเสธก็จักดูเกินไปหน่อย
อันหลิงเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้ารับ
เมื่ออันหลิงเกอยอมตกลงแล้ว รอยยิ้มของลู่จ้านก็กว้างขึ้นทำให้ใบหน้าคมคายมีเสน่ห์ชวนมองอีกมิน้อย ราวกับแสงที่ส่องสว่างในฤดูร้อนอย่างไรอย่างนั้น
ชางเยว่มองลู่จ้านอย่างระแวดระวัง นางเป็นองครักษ์ลับที่มู่จวินฮานส่งมาดูแลอันหลิงเกอ นอกจากคอยปกป้องอันหลิงเกอแล้ว การกำจัดคนที่มาตามเกี้ยวพาอันหลิงเกอก็ถือเป็นหน้าที่ของนางเช่นกัน
นางกัดฟันด้วยความโมโหขณะที่มองอันหลิงเกอเดินตามลู่จ้านไปยังริมทะเลสาบ จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้ปี้จูและหมิงซินตามไปด้วย
หากมีพวกนางหลายคนอยู่ด้วย ต่อให้ลู่จ้านอยากกล่าววาจาเกี้ยวพาอันหลิงเกอมากเพียงใดก็คงกล่าวมิออก
ลู่จ้านยืนอยู่ข้างกายอันหลิงเกอแล้วก้มมองนาง
นางเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างบอบบาง ผิวขาวราวกับหิมะ กระโปรงยาวสีแดงยิ่งช่วยขับให้นางดูงดงามขึ้นไปอีก คิ้วโค้งสวยรับกับดวงตาสีดำขลับราวกับไข่มุกดำที่งดงามที่สุดในโลก คนที่ได้สบกับดวงตาคู่นั้นจักมิมีวันลืมเลือนได้อย่างแน่นอน
ลู่จ้านราวกับถูกดวงตาคู่นั้นสะกดเอาไว้จนได้ยินเสียงหัวใจของตนที่เต้นรัวเร็วจนแทบทะลุออกมา
คำที่เก็บซ่อนไว้ในใจติดอยู่ตรงริมฝีปาก เขาพูดมิออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“คุณหนูใหญ่อัน”
เขาเอ่ยชื่อนางออกไปจนอันหลิงเกอหันมา ดวงตาคู่งามที่กะพริบขึ้นลงทำให้ลู่จ้านรู้สึกราวกับมีใครเอาขนนกปัดไปมาในใจจนคันยุบยิบไปหมด
ลู่จ้านรู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนขึ้นอย่างห้ามมิได้ แม้แต่ลำคอก็รู้สึกแห้งผาก
ส่วนใบหูของเขาก็แดงก่ำราวกับมีเลือดไหลออกมาเสียให้ได้ สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้าพูดในสิ่งที่นึกไว้มานาน “มิทราบว่าท่านโหวอันได้มองผู้ใดให้ท่านบ้างหรือยัง หากยังมิมีข้า…ข้าจักให้ท่านพ่อไปสู่ขอท่าน”
อันหลิงเกอรู้สึกตกใจมาก ที่แท้ลู่จ้านก็คิดเช่นนั้นกับนางจริง ๆ
แต่นางชอบมู่จวินฮานเพียงผู้เดียว ความในใจนี้ของลู่จ้าน นางคงรับไว้มิได้
“ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอหลุบตาลง มิได้มองไปยังใบหน้าที่แสนผิดหวังของลู่จ้าน
แต่ชางเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางกลับยิ้มออกมาทันที มิต้องถึงมือของนางเพราะคุณหนูก็กำจัดคนที่มาเกี้ยวพาด้วยตนเองแล้ว หากแม่ทัพน้อยลู่นึกแย่งผู้หญิงของนายท่านดูท่าคงต้องรอชาติหน้า
พวกหมิงซินอยู่ไกลออกไปเล็กน้อยจึงมิสามารถได้ยินคำพูดของอันหลิงเกอได้ แต่ชางเยว่มีกำลังภายในจึงได้ยินเสียงที่ทั้งสองสนทนากันได้ทุกคำมิมีตกหล่น
ใบหน้าของลู่จ้านฉายแววผิดหวังขึ้นมาทันที เพิ่งสารภาพความในใจออกไปก็โดนปฏิเสธมิมีชิ้นดี เป็นใครก็คงรับมิได้ทั้งนั้น
เขาจึงฝืนยิ้มออกไป ทว่ารอยยิ้มนั้นดูขมขื่นยิ่งนัก “ข้าใจร้อนไปเอง”
อันหลิงเกอเห็นท่าทางของเขาแล้วภายในใจก็รู้สึกมิดีตามไปด้วย อย่างไรเขาก็เป็นผู้มีพระคุณ การปฏิเสธเช่นนี้ดูเหมือนหักหาญน้ำใจของเขาเกินไปหรือไม่ ?
“ข้ามิสนใจเรื่องระหว่างชายหญิง เรื่องนี้มิใช่ความผิดของท่านหรอกเจ้าค่ะ”
ความสัมพันธ์ระหว่างนางและมู่จวินฮานยังเปิดเผยให้ผู้ใดทราบมิได้ นางจึงทำได้เพียงใช้ข้ออ้างนี้ในการปลอบใจลู่จ้าน
แต่ผู้ใดจักนึกว่าคนที่เพิ่งผิดหวังเยี่ยงลู่จ้าน เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูดกลับรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีก ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยความสดใส
“เช่นนั้นก็แสดงว่าคุณหนูใหญ่อันยังมิมีผู้ใดในใจใช่หรือไม่ ? ”
อันหลิงเกอมิคิดว่าลู่จ้านจักถามคำถามนี้ออกมา สีหน้าของนางจึงปั้นยากทันทีพลางหลบสายตาไปทางอื่น มิกล้ามองลู่จ้านโดยตรง “อืม ยังมิมีเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานที่อยู่ไกลถึงม่อเป่ยเกิดอาการจามออกมาเสียงดัง แต่เขาหาได้สนใจเพราะ กว่าที่องครักษ์เงาจักนำข่าวที่ลู่จ้านชอบอันหลิงเกอไปแจ้ง เวลาก็ผ่านไปนานกว่าครึ่งเดือนแล้ว
ทว่าคนสองคนที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบนั้นมองมิเห็นว่าป่าไผ่บนเขาที่ด้านหลังสำนักศึกษาจิงตูได้มีสตรีสวมชุดชนชั้นสูงกำลังจ้องมองพวกเขาด้วยความเคียดแค้นเพียงใด
อันหลิงเกอตัวดี ก็ไหนเจ้าบอกว่ามิได้คิดอันใดกับลู่จ้าน แต่มาแอบพบกันที่สำนักศึกษาจิงตูเช่นนี้ จักบอกว่ามิได้เป็นอันใดกันอีกหรือ !