พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 321 ฟ้อง
ตอนที่ 321 ฟ้อง
“จวนราชครูส่งของขวัญแทนคำขอบคุณมาให้โดยบอกว่าขอบคุณที่สาวใช้ของคุณหนูใหญ่ช่วยคุณหนูของพวกเขาเอาไว้เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้จึงสั่งให้บ่าวมาตามคุณหนูใหญ่ไปพบเจ้าค่ะ”
นางกล่าวออกมาอย่างยิ้มแย้ม แม้เพิ่งอายุสิบเจ็บสิบแปดปีแต่ก็เริ่มมีความคิดเป็นของตนเอง
เช่นการกล่าวเอาใจอันหลิงเกออย่างที่ทำอยู่ นางก็ทำออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ มิได้ทำให้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด
อันหลิงเกอพยักหน้ายิ้ม ๆ ในใจคิดว่าสาวใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามิธรรมดาเลย หากมิได้เป็นคนฉลาดช่างคิดช่างพูดก็มิสามารถอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าได้หรอก
สาวใช้เห็นท่าทางอ่อนโยนของอันหลิงเกอจึงกล่าวต่อ “ฮูหยินผู้เฒ่ายังเรียกคุณหนูสามไปพบด้วยเจ้าค่ะ อีกสักครู่ถ้าคุณหนูไปพบฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว บ่าวค่อยไปแจ้งที่เรือนคุณหนูสามอีกทีเจ้าค่ะ”
นางต้องการสื่อว่าตั้งใจมาบอกอันหลิงเกอก่อนเป็นคนแรก ส่วนอันหลิงอีถูกวางไว้ทีหลัง
อันหลิงเกอมิได้กล่าวอันใด หากมิใช่เพราะตอนนี้สถานะในจวนของนางเปลี่ยนไปแล้วผู้ใดจักใส่ใจนางมากกว่าอันหลิงอี
แต่ในเมื่อสาวใช้อยากเอาใจ นางเองก็มิได้รังเกียจจึงเรียกหมิงซินให้ตามไปด้วยกัน “เจ้าไปเรียกน้องหญิงสามเถิด ข้าจักไปหาท่านย่าแล้ว”
เมื่อรับคำแล้วสาวใช้จึงเดินไปอีกทาง
เรือนของอันหลิงอีอยู่ใกล้กับเรือนชิงเฟิงมากกว่า แม้สาวใช้คนนั้นไปแจ้งอันหลิงเกอก่อน แต่อันหลิงเกอและอันหลิงอีก็มาถึงเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าในเวลาห่างกันเพียงครึ่งถ้วยชาเท่านั้น
ทันทีที่อันหลิงอีเข้ามาก็เห็นอันหลิงเกอนั่งอยู่ฝั่งขวามือฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว มิรู้ว่ากล่าวอันใดฮูหยินผู้เฒ่าถึงหัวเราะออกมาเสียงดังเช่นนี้
แววตาริษยาของนางมองไปที่อันหลิงเกอ แต่ก็กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าสังเกตเห็นจึงเปลี่ยนเป็นรีบเข้าไปคำนับโดยเร็ว “ท่านย่า มิทราบว่าเรียกหลานมาพบ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าชอบความสงบจึงสั่งงดธรรมเนียมเข้าคารวะทุกเช้า แต่ตอนนี้เรียกนางมาหาทำให้อันหลิงอีรู้สึกสังหรณ์ใจมิดี
ฮูหยินผู้เฒ่าที่ตอนแรกอารมณ์ดีเพราะถูกอันหลิงเกอหยอกล้อ เมื่อเห็นอันหลิงอีเดินเข้ามารอยยิ้มบนใบหน้าก็หุบลงในพริบตาราวกับฟ้าที่สดใสพลันเกิดเมฆหมอกบดบังก่อนพายุฝนจักโหมกระหน่ำ
“เจ้าทำอันใดลงไปยังต้องให้ข้ากล่าวอีกหรือ ? ”
อันหลิงอีตกใจอย่างมาก หลายวันมานี้นางอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แต่ท่านย่าทำท่าทางราวกับนางมีความผิดใหญ่หลวง นอกจากเรื่องที่วันนี้นางผลักเฉินเฉินตกน้ำแล้วก็นึกมิออกว่ายังมีเรื่องอันใดที่ทำให้ท่านย่าโมโหได้ถึงเพียงนี้
แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นในสวนของจวนติ้งกั๋วกง ท่านย่าที่อยู่ในห้องโถงจักรู้ได้อย่างไร ?
อันหลิงอีจ้องไปยังอันหลิงเกอพร้อมกัดฟันอย่างโกรธแค้น
ต้องเป็นคนสารเลวฟ้องท่านย่า !
นางจ้องอันหลิงเกอราวจักพ่นไฟใส่และอยากเข้าไปฉีกทึ้งออกเป็นชิ้น แต่เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามองมาก็รีบทำท่าทางน่าสงสารทันที “ท่านย่า พี่หญิงใหญ่มาพูดอันใดให้ท่านฟังใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
“วันนี้หลานทำผิดไปจริง ๆ เดิมหลานต้องการเข้าไปเล่นกับพี่หญิงใหญ่ แต่มิทันระวังจึงชนคุณหนูเฉินตกน้ำ แต่หลานขอโทษคุณหนูเฉินไปแล้ว พี่หญิงใหญ่ก็ตบหน้าสั่งสอนหลานเพราะเรื่องนี้ตั้งสามครั้งเจ้าค่ะ”
อันหลิงอีก้มหน้าลงเผยให้เห็นใบหน้าที่โดนตบจนบวมแดง
แม้ผ่านไปครึ่งชั่วยามแต่เพราะอันหลิงเกอออกแรงในการตบค่อนข้างมากจึงทำให้จนถึงตอนนี้รอยบนใบหน้าของนางยังมิจางหาย
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นรอยฝ่ามือชัดเจนบนใบหน้าของอันหลิงอีจึงหันไปทางอันหลิงเกอ “เกอเอ๋อ เจ้าเป็นคนตบหน้านางอย่างนั้นหรือ ? ”
“เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอพยักหน้ารับมิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด “แต่ที่หลานตบก็เพราะหนึ่งนางทำอันใดมิคิดจนทำให้คุณหนูเฉินแห่งจวนราชครูตกไปในทะเลสาบ หากมิใช่เพราะหมิงซินว่ายน้ำคล่องแคล่วจึงช่วยคุณหนูเฉินไว้ได้ทันก็มิแน่ว่าคนร่างกายอ่อนแอเช่นคุณหนูเฉินอาจ…”
นางชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็เข้าใจความหมายได้ทันที
ร่างกายของเฉินเฉินมิแข็งแรง แต่ความสามารถของนางเป็นที่เลื่องลือ มีชื่อเสียงว่าเป็นหญิงงามที่มีความสามารถราวกับ*ไซซี ขนาดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาเมืองหลวงได้มิกี่เดือนยังเคยได้ยินเรื่องของนางเช่นกัน
“อีกทั้งหลังจากที่คุณหนูเฉินถูกช่วยขึ้นมาแล้ว นางกลับมิสนใจว่าตนร่างกายอ่อนแอ นางนึกแต่จักหาตัวผู้ที่ผลักนางตกน้ำให้ได้ น้องหญิงสามกลับทำเป็นหูทวนลม พอดีกับที่หลานเห็นคุณหนูเจียวยื่นมือออกมาจึงเข้าใจผิดคุณหนูเจียว ดังนั้นที่หลานตบนางครั้งที่สองเพราะนางทำผิดแต่มิกล้ายอมรับผิด ไร้ความรับผิดชอบจนทำให้ผู้อื่นนึกว่าหลานร่วมมือกับน้องหญิงสามใส่ร้ายคุณหนูเจียว เกือบทำให้จวนของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงเจ้าค่ะ”
ก่อนที่อันหลิงอีจักมาถึง ฮูหยินผู้เฒ่ายังมิได้ถามเรื่องที่เกิดขึ้นในศาลา แต่ยามนี้ได้ยินที่อันหลิงเกออธิบาย แววตาจึงเย็นชามากขึ้นไปอีก
“อันหลิงอี ที่เกอเอ๋อกล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่ ? ”
นางเรียกอันหลิงอีเต็มยศแสดงว่ากำลังโมโหมาก
อันหลิงอีรู้อยู่แล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าเรียกนางมาต้องมิใช่เรื่องดี เดิมทีนางนึกว่าจักเรียกร้องความสงสารจากฮูหยินผู้เฒ่าและผ่านเรื่องนี้ไปได้ แต่ผู้ใดจักนึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าอยากได้ความกระจ่างในเรื่องนี้ แม้ว่านางโดนอันหลิงเกอตบถึงสามครั้งก็ยังมิสนใจ
นางรู้สึกกรุ่นโกรธที่ฮูหยินผู้เฒ่าลำเอียงแต่มิกล้าแสดงออกต่อหน้าจึงทำได้เพียงก้มหน้าลงอย่างน่าสงสารและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านย่า หลานผิดไปแล้ว โดนพี่หญิงใหญ่ตบสั่งสอนไปถึงสามครั้งแล้วด้วย อีกอย่างหลานก็ขอโทษคุณหนูเฉินที่ยกโทษให้หลานแล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอได้ยินทุกประโยคแต่ทุกประโยคที่กล่าวออกมาเป็นการเน้นย้ำเรื่องที่นางโดนตบถึงสามครั้ง ราวกับจักบอกว่าอันหลิงเกอเป็นคนโหดร้าย เป็นบุตรภรรยาเอกที่ชอบรังแกบุตรของอนุ อาศัยโอกาสนี้ทำให้นางอับอายผู้คน
มุมปากของอันหลิงเกอจึงยกขึ้นเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน น่าเสียดายที่อันหลิงอีมิรู้ว่าท่านย่าทราบเรื่องนี้เพราะคนของจวนราชครูต่างหาก อย่างไรท่านย่าก็มิมีทางปล่อยนางไปเพราะท่าทีน่าสงสารอยู่แล้ว
“คุณหนูเฉินอาจอภัยให้เจ้า แต่ท่านราชครูมิอภัยให้เจ้าหรอก ! ” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาอย่างโมโห ภาพเมื่อครู่ที่แม่นมของจวนราชครูทำเป็นเอ่ยชื่นชมอันหลิงเกอ แต่แท้จริงต้องการฟ้องในสิ่งที่อันหลิงอีทำลงไปได้ลอยขึ้นมาทันที ทำให้นางอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“เมื่อครู่ท่านราชครูส่งคนมาที่นี่เพื่อแจ้งเรื่องที่คุณหนูเฉินตกน้ำและตอนนี้คุณหนูเฉินก็มิสบาย แต่เจ้าทำราวกับว่ามิมีอันใดเกิดขึ้น ไม่แม้แต่จักมาบอกให้ข้ารู้สักนิด”
หากอันหลิงอีบอกเรื่องนี้ให้นางทราบตั้งแต่ตอนกลับมาถึงจวน นางคงมิรู้สึกโง่ต่อหน้าคนของจวนราชครู
อันหลิงอีคาดมิถึงว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่ารู้เรื่องนี้เพราะคนของจวนราชครูมาบอกถึงที่
นางคิดว่าเฉินเฉินรับคำขอโทษแล้วเรื่องนี้ก็ถือว่าจบกันไป แต่ราชครูนั่นเหตุใดจึงวุ่นวายเพียงนี้ !
ก็แค่ผลักเฉินเฉินตกน้ำมิใช่หรือ ? อีกอย่างนางก็ถูกช่วยขึ้นมาแล้วมิสบายเล็กน้อย ราชครูถึงขั้นส่งคนมาฟ้องท่านย่า เหตุใดจึงใจแคบนักเล่า
อันหลิงอีคิดได้เช่นนั้นในใจก็รู้สึกโมโหขึ้นมา “คุณหนูเฉินมิได้เป็นอันใดเสียหน่อย หลานเองก็ขอโทษไปแล้วเจ้าค่ะ ราชครูยังต้องการอันใดอีก ? ”
…
*ไซซี เป็นหนึ่งในสี่หญิงงามแห่งแผ่นดินจีน ได้รับฉายาว่า มัจฉาจมวารี หมายถึง ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังจมสู่ใต้น้ำ