พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 322 หลี่ซื่อหาตัวช่วย
ตอนที่ 322 หลี่ซื่อหาตัวช่วย
ท่าทางไร้ความสำนึกผิดของอันหลิงอีทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ริมฝีปากจึงเปล่งคำออกมาด้วยความสั่นเทา “ดี ดีมาก ดีเหลือเกิน ข้ามิรู้มาก่อนว่าเจ้ามีความคิดเช่นนี้ หลี่ซื่อเลี้ยงลูกได้ดีเสียจริง ! ”
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าอย่างไรก็คุยกับอันหลิงอีมิรู้เรื่องจึงมิรอให้สำนึกผิด นางก็สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “นับแต่นี้ให้เจ้าไปคุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษจนถึงพรุ่งนี้เช้าค่อยออกมา ! ”
อันหลิงอีจ้องฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความตกใจ
“ท่านย่า หลานขอโทษไปแล้ว เหตุใดยังลงโทษให้ไปคุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษด้วยเจ้าคะ ? ”
นางมิยอมรับ นางมิเห็นว่าสิ่งที่ตนพูดจักผิดตรงไหน มีแต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ลำเอียงจนมิลืมหูลืมตา
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นก็มิอยากกล่าวอันใดอีก อันหลิงเกอมองไปยังอันหลิงอีจากนั้นดวงตาดำขลับก็เปล่งประกายเล็กน้อย “น้องหญิงสาม เจ้าทำผิดจนเกือบทำให้คุณหนูเฉินถึงแก่ชีวิต ท่านราชครูย่อมหาทางเอาคืนแทนหลานสาวอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองจวน หากท่านย่ามิลงโทษเจ้า เขาต้องนึกว่าจวนโหวของเรามีนิสัยเหมือนเจ้า ทำร้ายผู้อื่นแล้วปล่อยให้จบกันไป เช่นนี้เจ้าว่าราชครูจักคิดอย่างไร ? ”
“เขาก็จักคิดว่าที่จวนโหวของเรามิใส่ใจเรื่องนี้ เพราะท่านพ่ออยู่คนละฝ่ายกับเขา ดังนั้นจวนของเราจึงมิจำเป็นต้องผูกมิตรกับจวนราชครู ยิ่งเวลานี้ท่านพ่อได้ดูแลหน่วยเซินจีหยิงจึงนับว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเป็นขุนนาง หากราชครูไปยื่นฎีกาต่อฝ่าบาทเพื่อตำหนิที่ท่านพ่อคอยปกป้องเจ้า ถึงตอนนั้นท่านพ่อจักเป็นอย่างไร ? ”
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าแค่โมโหท่าทางเช่นนั้นของอันหลิงอีจึงลงโทษให้ไปคุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่อันหลิงเกอกล่าวออกมา นางก็ตกใจทันทีและรู้สึกว่าตนได้พลาดเรื่องสำคัญเสียได้
ท่านราชครูถือเป็นขุนนางเก่าแก่ติดต่อกันสามรัชสมัย ตำแหน่งในราชสำนักมิธรรมดา หากเขาทูลเรื่องอันอิงเฉิงให้ฝ่าบาททรงทราบ ฝ่าบาทที่เพิ่งกลับมาไว้วางพระทัยอันอิงเฉิงก็มิแน่อาจเปลี่ยนความคิดไปเลยก็ได้
ที่จวนโหวสามารถรุ่งโรจน์ได้เช่นตอนนี้ก็เพราะความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ หากฮ่องเต้ทรงไร้ซึ่งความไว้วางพระทัยต่ออันอิงเฉิงแล้ว มิเกิน 1 เดือนจวนโหวต้องกลับไปลำบากเหมือนแต่ก่อนแน่
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่านึกถึงตรงนี้ สีหน้าก็ยิ่งเย็นชาขึ้นกว่าเดิม จากนั้นจึงออกคำสั่งกับสาวใช้ข้างกาย “พวกเจ้าไปเฝ้าคุณหนูสามที่โถงบรรพบุรุษเอาไว้ คืนนี้ห้ามผู้ใดส่งข้าว หากมีผู้ใดกล้าเอาข้าวไปให้นาง มิว่าเป็นผู้ใดข้าก็จักไล่มันออกไปจากจวน ! ”
เดิมทีนางแค่ลงโทษให้คุกเข่าเท่านั้น ตอนนี้แม้แต่ข้าวก็ต้องอดไปด้วย
อันหลิงอียังยืนอึ้งอยู่กำลังจักอ้าปากขอร้อง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือขึ้น เหล่าสาวใช้จึงเดินเข้ามาลากตัวนางไปที่โถงบรรพบุรุษทันทีโดยมิสนใจท่าทีขัดขืนของนางแม้แต่น้อย
ตอนที่ข่าวนี้ไปถึงหูหลี่ซื่อก็ถึงขั้นโมโหจนปัดแจกันเคลือบที่อยู่ใกล้มือทิ้งทันที
“นางปิศาจ ! ”
แค่งานวันเกิดติ้งกั๋วกงงานเดียว อันหลิงเกอมิเพียงวางแผนเอาของมีค่าทุกอย่างที่ฮูหยินใหญ่อันทิ้งไว้กลับคืนไป แต่ยังทำให้อีเอ๋ออับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย อีกทั้งตอนนี้ยังถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษให้คุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษ !
อีเอ๋อของนางถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมตั้งแต่เด็ก มิเคยลำบากมาก่อนแล้วสถานที่หนาวเหน็บเยี่ยงโถงบรรพบุรุษเช่นนั้นจักทนไหวได้หรือ ?
มิหนำซ้ำฮูหยินผู้เฒ่ายังสั่งให้อยู่ในนั้นทั้งคืนและห้ามมิให้ผู้ใดส่งข้าวอีก เห็นได้ชัดว่าลำเอียงเข้าข้างอันหลิงเกอและกลั่นแกล้งอีเอ๋อของนาง
สายตาที่ชั่วร้ายของหลี่ซื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าที่กำลังโกรธอย่างถึงที่สุด
นางปรับสีหน้าเล็กน้อยก่อนเรียกสาวใช้เข้ามาเก็บกวาดแจกันตกแตกให้เรียบร้อย จากนั้นจัดชุดที่สวมอยู่ให้เข้าที่แล้วสั่งให้ห้องครัวทำซุปเม็ดบัว จากนั้นเดินไปยังห้องหนังสือของอันอิงเฉิง
เมื่อแสงยามพลบค่ำเข้าปกคลุมทั่วทั้งจวนโหว เสียงจิ้งหรีดเรไรก็เริ่มร้องระงม หลายเรือนทยอยดับตะเกียงเพื่อพักผ่อนจึงทำให้จวนโหวสงบขึ้น
มีเพียงสถานที่หนึ่งยังคงสว่างไสว แสงเทียนสีเหลืองนวลเต้นรำอยู่บนเชิงเทียน น้ำตาเทียนค่อย ๆ ไหลลงมาตามเวลาที่เคลื่อนผ่าน
อันอิงเฉิงยังนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ กำลังอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าบางเบาค่อย ๆ ก้าวเข้ามา
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลี่ซื่อเดินเข้ามาพอดี
“ท่านพี่ เมื่อตอนกลางวันท่านดื่มสุราไปมาก เหตุใดยังมิรีบพักผ่อนเจ้าคะ ? หนังสือพวกนี้ดูตอนไหนก็ได้ อย่างไรสุขภาพก็ต้องมาก่อนเจ้าค่ะ”
นางวางถ้วยซุปในมือลงทางเบื้องหน้าของอันอิงเฉิง ในถ้วยกระเบื้องขาวขอบทองมีเม็ดบัวลอยอยู่หลายเม็ด ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ไปทั่วห้องหนังสือ
อันอิงเฉิงวางหนังสือลง เมื่อเห็นความใส่ใจของหลี่ซื่อ บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที
“หลายปีมานี้ข้างกายข้ามีเพียงเจ้าเอาใจใส่ข้าที่สุด”
เขามิได้ยกถ้วยซุปขึ้นดื่ม แต่จับมือของหลี่ซื่อแทน แววตาที่มองนางเต็มไปด้วยความเสน่หา
หลี่ซื่อก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความเขินอาย นางอยากดึงมือออกจากการกอบกุมของอันอิงเฉิง แต่มินึกว่าเขาจักกระชับมือแน่นกว่าเดิม “เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาเป็นสิบปีแล้วเหตุใดยังเขินอายอยู่อีกเล่า ? ”
แค่จับมือไว้เท่านั้น แต่หลี่ซื่อกลับเขินอายอย่างมาก
อันอิงเฉิงชมชอบความใส่ใจของนางและท่าทางออดอ้อนราวกับสาวน้อยเช่นนี้ยิ่งนัก
หลี่ซื่อมิได้เงยหน้าขึ้น แต่กระซิบเร่งเขาแทน “ท่านพี่รีบทานซุปเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าต้องไปดูอีเอ๋อด้วย”
“อีเอ๋อเป็นอันใด ? ”
อันอิงเฉิงถามและพบว่าหลี่ซื่อรีบหลบสายตาอย่างร้อนรน “มิมีอันใดเจ้าค่ะ อีเอ๋อสบายดี”
ท่าทางมีลับลมคมในของนางยิ่งทำให้อันอิงเฉิงรู้สึกสงสัยว่าเกิดอันใดขึ้นกับอันหลิงอี เขาจึงขมวดคิ้ว มิมีอารมณ์แสดงความรักหวานชื่นกับหลี่ซื่ออีก “เกิดอันใดกับอีเอ๋อ เจ้ามิต้องมาปิดบังข้า”
“มิมีอันใดหรอกเจ้าค่ะ” หลี่ซื่ออึกอักราวกับมิรู้ว่าจักพูดอย่างไรดี “อีเอ๋อทำผิด ตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่ที่โถงบรรพบุรุษเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งห้ามมิให้ทุกคนส่งข้าวให้อีเอ๋อ ข้ากลัวว่านางอยู่ที่นั่นคนเดียวแล้วจักกลัวจึงคิดว่าอีกสักครู่จักไปดูนางเสียหน่อย ข้าอยากเอาเสื้อคลุมไปให้นางแล้วอยู่เป็นเพื่อนนางสักพักเจ้าค่ะ”
อันอิงเฉิงขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม อยู่ดี ๆ เหตุใดอีเอ๋อจึงโดนท่านแม่ลงโทษให้คุกเข่าในโถงบรรพบุรุษ ?
หลี่ซื่อที่กำลังประเมินสีหน้าของเขาอยู่ เมื่อเห็นเขาทำหน้ายุ่งเหมือนยังมิเข้าใจที่นางกล่าวจึงอธิบายต่อ “ข้าได้ยินว่าตอนที่อยู่จวนติ้งกั๋วกงวันนี้อีเอ๋อเผลอล่วงเกินคุณหนูจวนราชครูเข้า เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าทราบจึงโมโหมากเจ้าค่ะ”
กล่าวจบนางก็ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าหมอง “แต่เด็กทั้งสองก็คุยกันจนเข้าใจดีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนี้ราวกับว่าจวนโหวของเราเกรงกลัวจวนราชครูจนต้องคอยเอาใจเขาเจ้าค่ะ”
กลัวราชครูน่ะหรือ ?
ดวงตาของอันอิงเฉิงฉายแววมิพอใจขึ้นมาทันที ตอนนี้เป็นช่วงที่เขากำลังรุ่งโรจน์ จักไปกลัวราชครูเล็ก ๆ เพียงคนเดียวได้อย่างไร ?
ท่านแม่อยากเอาใจพวกเขาเช่นนี้ เท่ากับมองว่าตำแหน่งจวนโหวต่ำต้อยยิ่งนัก !
อันอิงเฉิงคิ้วกระตุกขึ้นมาทันที “ไป ไปดูอีเอ๋อด้วยกัน”