พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 323 ฝันประหลาด
ตอนที่ 323 ฝันประหลาด
หลี่ซื่อพูดใส่ไฟให้อันอิงเฉิงอย่างไรบ้าง อันหลิงเกอมิรู้เลยสักนิด
แม้มีสาวใช้เข้ามารายงาน นางเพียงส่งเสียงรับคำออกไปอย่างมิได้ใส่ใจเพราะความคิดของนางกำลังฟุ้งซ่าน
นางครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน มิรู้เหตุใดพอเห็นเจียวซูหมิ่นยืนอยู่กับอันหลิงอีแล้วนางก็รู้สึกว่าระหว่างทั้งสองมีบางอย่างมิชอบมาพากล ความรู้สึกนี้มิได้เกิดขึ้นเพราะอันหลิงอีแต่คล้ายจักเกิดจากความเป็นศัตรูโดยไร้สาเหตุของเจียวซูหมิ่นเสียมากกว่า
ทว่าก่อนหน้านี้นางมิเคยพบเจียวซูหมิ่นมาก่อน แล้วอยู่ดี ๆ จักเป็นศัตรูกับเจียวซูหมิ่นได้อย่างไร ? ความรู้สึกนี้ถึงขั้นทำให้นางทำเรื่องที่ใจร้อนเช่นวันนี้ออกมาทั้งที่มิใช่นิสัยของนางเลย
ปี้จูและหมิงซินมิรู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ รู้เพียงว่าตอนนี้อันหลิงเกอกำลังอารมณ์มิดี ทั้งคู่สบตากันแล้ววางอาหารค่ำของอันหลิงเกอลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นนางทานข้าวแต่ยังขมวดคิ้วอยู่มิหายจึงอดร้อนใจมิได้ “คุณหนู ตอนอยู่ที่จวนติ้งกั๋วกงเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ ? ”
คุณหนูสามโดนฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษคุกเข่าอยู่ที่โถงบรรพบุรุษแล้วแท้ ๆ สำหรับพวกนางถือเป็นเรื่องดี แล้วเหตุใดคุณหนูดูมิดีใจเลย ?
ปี้จูเป็นคนโผงผาง เมื่อเห็นเช่นนี้นางจึงถามออกมาตามตรง
เสียงเรียกของนางทำให้อันหลิงเกอได้สติขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือนวดคลึงระหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า “มิมีอันใด เจ้ามิต้องกังวลหรอก”
นางมองไปยังทั้งสองคน แต่วันนี้มิได้ให้พวกนางจุดไฟเหมือนทุกวัน นางมิได้อ่านตำราแพทย์เพียงแค่สั่งออกมาเบา ๆ “ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนแล้วให้สาวใช้ที่อยู่เวรกลางคืนคอยดูแลก็พอ”
ปี้จูยังอยากถามอันใดบางอย่าง แต่โดนหมิงซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ดึงแขนไว้พร้อมส่งสายตาให้ “บ่าวรับทราบเจ้าค่ะ ท่านก็พักผ่อนเถิด พวกบ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
ตอนนี้คุณหนูกำลังอารมณ์มิค่อยดี บางทีได้หลับสักตื่นอาจจักดีขึ้นก็ได้
หมิงซินคิดเช่นนั้นจึงลากปี้จูออกมาด้านนอก
อันหลิงเกอจึงถอดเสื้อนอกออกแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง จากนั้นก็หลับอย่างรวดเร็วแต่คิ้วเรียวสวยกลับค่อย ๆ ขมวดขึ้นคล้ายคนที่นอนหลับมิค่อยสนิท
ที่จริงนางกำลังฝันถึงเรื่องราวสุดประหลาด ภายในฝันมีผู้หญิงสองคนและเงาคนอื่นอีกมากมาย
อันหลิงเกอคล้ายเป็นผู้เฝ้ามอง นางได้ยินเสียงประกาศชัดเจนของขันที “ฉูอวี่แห่งจวนแม่ทัพกลับเมืองหลวงในช่วงสงครามโดยมิได้รับราชโองการ กองทัพชิงซานทั้งหมดขัดราชโองการ เจตนาเป็นกบฏ บัดนี้ฮ่องเต้มีราชโองการให้จับกุมฉูอวี่แห่งจวนแม่ทัพไปขังคุกหลวงเพื่อรอลงอาญา ! ”
ภาพที่เห็นก่อนหน้าเป็นภาพในพระราชวังแสนงดงาม แต่เมื่ออันหลิงเกอมองอีกครั้งภาพก็เปลี่ยนเป็นคุกหลวงที่มืดและชื้นแฉะ
มีหญิงสาวปล่อยผมยาวสยายคนหนึ่งนั่งบนพื้นในคุก ผมยาวร่วงลงมาปกคลุมใบหน้าของนาง
บนพื้นหนาวเย็นอย่างมาก แต่ยังมิเทียบเท่าความหนาวเหน็บที่อยู่ภายในใจนาง
เจตนาเป็นกบฏอย่างนั้นหรือ ? ช่างน่าขันเสียจริง !
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร ? ก็มิใช่เพราะนางใช้จวนแม่ทัพช่วยวางแผนให้ ใช้กำลังและความคิดทั้งหมดกำจัดองค์ชายพระองค์แล้วพระองค์เล่าเพื่อปูทางให้เขาหรอกหรือ
ตอนนี้กลับกลายเป็นว่านางคิดก่อกบฎเสียได้
มิมีเรื่องอันใดน่าขันมากกว่านี้แล้ว !
นางหลุบตาลง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นเยือก
หากมิใช่เพราะกู่ฉางเซิ่งส่งคนไปแจ้งข่าวแก่นาง นางจักกลับมาเมืองหลวงก่อนกำหนดได้เยี่ยงไร ?
ระยะทางจากภูเขาเยี่ยนจนถึงเมืองหลวงหลายพันลี้ นางอุตส่าห์รีบเดินทางมาโดยมิหยุดพัก ใจคิดแต่รีบมาปราบกบฏที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง แต่คาดมิถึงว่าจักหลงกลแผนการของกู่ฉางเซิ่งเข้าให้
เมื่อได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ในสายตาของกู่ฉางเซิ่งก็มิต้องการเก็บนางเอาไว้อีก
เพียงหวังว่าเขายังมีความปรานีอยู่บ้าง มิลากคนอื่นในจวนแม่ทัพของนางเข้ามาด้วย
อยู่ ๆ นอกห้องขังก็เกิดเสียงดังขึ้นมา ฉูอวี่เงยหน้าขึ้นก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดงดงามโดยมีหัวหน้าผู้คุมเดินนำทางด้วยความนอบน้อม
“เจ้าออกไปก่อน”
สตรีรูปร่างบอบบางอีกคนปรากฏตัวขึ้น น้ำเสียงไพเราะราวกับเสียงของนกขมิ้น
หัวหน้าผู้คุมมีท่าทีลำบากใจ “เกรงว่า…จักมิค่อยเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
“มีอันใดมิเหมาะสมอย่างนั้นหรือ ? ” หญิงสาวคนนั้นยิ้มออกมา ใบหน้าที่ถูกแต่งเติมมาอย่างประณีตกอปรกับรอยยิ้มงดงามยิ่งทำให้นางดูมีเสน่ห์ชวนมองมากขึ้น “วางใจเถิด ฝ่าบาทมิมีทางเอาผิดเจ้าหรอก หากฝ่าบาทจักเอาผิด ข้าออกรับแทนเจ้าเอง”
หัวหน้าผู้คุมยิ้มประจบขึ้นมาทันที “กระหม่อมทราบว่าพระองค์มีเมตตาทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท กระหม่อมมิเป็นห่วงเรื่องนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…ฉูอวี่ผู้นี้เดิมเป็นแม่ทัพของกองทัพชิงซาน ฝีมือนางแสนร้ายกาจ พระองค์ต้องระวังให้ดี อย่าให้นางทำร้ายเอาได้ มิเช่นนั้นหากฝ่าบาทเอาผิดกระหม่อมเรื่องนี้ขึ้นมา กระหม่อมคงรับมิไหวพ่ะย่ะค่ะ ! ”
สตรีที่สวมชุดหรูหราคนนั้นเมื่อโดนเขาประจบก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที แต่มิได้แสดงออกมาให้เห็นทางสีหน้า นางยังวางท่าราวกับเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยน “เหลวไหล นางเป็นพี่สาวของข้า จักทำร้ายข้าได้อย่างไร ? เจ้าออกไปก่อน ปล่อยให้ข้าได้คุยกับพี่สาวสักครู่”
หัวหน้าผู้คุมมิได้กล่าวสิ่งใดอีก เขาโน้มกายคารวะจากนั้นก็ถอยออกไป
สตรีที่อยู่ในคุกรีบลุกขึ้น รอจนหัวหน้าผู้คุมเดินจากไปจึงถามออกมาทันที “ฉิงเอ๋อ จวนแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อและพี่ใหญ่พลอยรับเคราะห์ไปกับข้าหรือไม่ ? ”
อันหลิงเกอก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ตนเป็นคนนอกที่กำลังมองพวกนางอยู่ แต่เมื่อได้รับรู้ถึงความโศกเศร้าและสิ้นหวังของสตรีผมยาวคนนั้น หัวใจของนางพลันเจ็บปวดราวกับถูกบีบ
นางรู้ดีว่าตนกำลังอยู่ในฝันอันแปลกประหลาดแต่มิสามารถตื่นขึ้นมาได้ หรือเป็นนางเองที่มิยอมตื่นกันแน่ นางตัดสินใจทันทีว่าจักรอดูต่อไป ดูให้รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นระหว่างคนที่อยู่เบื้องหน้า
นางมองภาพที่อยู่ด้านหน้าก็เริ่มไตร่ตรองถึงฐานะของอีกฝ่ายไปด้วย
สตรีผมยาวสยายคนนั้นคงจักเป็นฉูอวี่ ส่วนฉิงเอ๋อที่นางเรียกว่าน้องสาวดูเหมือนมีชื่อจริงว่าฉูฉิง
“มิได้ติดร่างแหหรอก” ฉูฉิงส่ายหน้า
ยังมิทันที่ฉูอวี่จักได้ถอนหายใจ ฉูฉิงก็กล่าวต่อ “แต่ฝ่าบาทพบจดหมายที่ท่านพ่อส่งให้อัครมหาเสนาบดีของแคว้นศัตรูในจวนแม่ทัพ จึงตั้งข้อหากบฏแก่จวนแม่ทัพทำให้ตอนนี้คนในจวนทั้งหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าคนถูกจับขังคุกเพื่อรอประหาร ณ *ไช่ซือโข่ว ยามอู่ ( 11.00 – 12.59 น. ) ของวันนี้”
น้ำเสียงของฉูฉิงยังคงอ่อนโยน ทว่าไร้ความเสียใจฉายออกมาแม้แต่น้อย ดูมิออกเลยว่านางกำลังกล่าวถึงเรื่องที่บิดามารดาและครอบครัวของตนจักต้องโดนประหาร
ฉูอวี่ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ผ่านไปครู่หนึ่งจึงฝืนยิ้มออกมา “ฉิงเอ๋อ เจ้าล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ ดูสิ เจ้ายังมายืนอยู่ต่อหน้าข้าได้เลย ดังนั้นคนมากมายในจวนแม่ทัพจักโดนประหารได้อย่างไร ? ”
“พี่หญิง เจ้าใกล้ตายอยู่แล้วข้าจักโกหกเพื่อเหตุใด ? ” อยู่ๆ เสียงของฉูฉิงก็แหลมขึ้น สามารถทิ่มแทงคนฟังให้เจ็บปวดหัวใจเช่นเดียวกับเสียงของขันทีผู้นั้น
“เจ้ายังมิรู้สิว่าข้ากราบทูลขอร้องฝ่าบาทว่าให้เจ้าโดนประหารไปพร้อมทุกคนในจวนแม่ทัพ ถือว่าให้พวกเจ้าได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
นางหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ใบหน้าที่ดูงดงามเมื่ออยู่ใต้แสงส่องกระทบลงมาในคุกดำมืดกลับดูแปลกไป
ฉูอวี่รู้สึกว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าช่างดูมิคุ้นเอาเสียเลย มิเหมือนคนที่คอยเรียกนางจากด้านหลังด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า ‘พี่หญิง พี่หญิงเจ้าคะ’ แม้แต่น้อย
ใบหน้าของนางเข้มขึ้นพลางมองฉูฉิงที่อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาตกตะลึง
…
*ไช่ซือโข่ว คือลานประหารของเมืองหลวงในยุคนั้น นักโทษจะถูกนำมาจากคุก แวะดื่มสุราหนึ่งจอกที่ร้านข้างประตูซวนอู่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนำมาตัดศีรษะที่นี่ในเวลา 11:45 น.