พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 330 มู่จวินฮานกลับมา
ตอนที่ 330 มู่จวินฮานกลับมา
อันหลิงเกอเพิ่งกลับถึงเรือนก็ได้ยินน้ำเสียงสดใสของปี้จูดังขึ้นมาทันที
มู่จวินฮานให้คนส่งจดหมายมาจริงหรือ ?
ฝีเท้าของอันหลิงเกอก้าวเร็วขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจักรับจดหมายในมือปี้จูมาเปิดอ่าน
‘สบายดี มิต้องเป็นห่วง’
บนจดหมายมีเพียงประโยคสั้น ๆ ลายมือที่ปรากฏช่างสง่างามและดุดันเช่นเดียวกับบุคลิกของผู้เขียน
อันหลิงเกอมองตัวอักษรที่ดูมีพลังพวกนั้นจึงรู้สึกวางใจขึ้น ในขณะเดียวกันก็อดรู้สึกผิดหวังมิได้
นางคิดว่าที่ม่อเป่ยจักมีอันใดเกิดขึ้น หรือมู่จวินฮานอาจเล่าเรื่องสนุกให้นางฟัง แต่เหตุใดจึงมีแค่คำมิกี่คำ ?
เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ก็ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกไร้จิตใจจักทำอันใด นางมิเข้าใจความรู้สึกหงุดหงิดที่อยู่ ๆ ก็เกิดว่ามันคืออันใดกันแน่ มือของนางยังถือจดหมายแผ่นบางเอาไว้มิยอมปล่อย
ปี้จูเห็นท่าทางของนางก็คิดว่าม่อเป่ยเกิดเรื่องอันใดขึ้น คุณหนูจึงมีท่าทีแปลกไปเช่นนี้
“คุณหนู เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านมู่ซื่อจื่อหรือเจ้าคะ ? ”
ปี้จูเอ่ยถามอย่างสงสัย แต่อันหลิงเกอส่ายหน้าแล้วพับเก็บจดหมายในมือ
“มิมีอันใด”
ในเมื่ออันหลิงเกอมิอยากพูด ปี้จูก็มิกล้าเอ่ยถามขึ้นอีก แต่ได้ยินอันหลิงเกอกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อออกคำสั่งให้ส่งน้องหญิงสามไปอยู่ที่เรือนเจียงจื่อ เจ้ากับหมิงซินก็ส่งคนคอยตามดูความเคลื่อนไหวของหลี่อี๋เหนียงไว้ให้ดี”
ปี้จูได้ยินก็รับคำทันที จากนั้นอันหลิงเกอจึงโบกมือให้นางออกไป
อันหลิงอีโดนลงโทษ นางควรดีใจถึงจักถูก เหตุใดจึงได้รู้สึกเศร้าเยี่ยงนี้เล่า ?
คิ้วของอันหลิงเกอขมวดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่ายิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด นางจึงตัดสินใจเลิกคิดแล้วไปนั่งขีดเขียนที่โต๊ะแทน สุดท้ายจิตใจถึงได้สงบลง
แต่ในขณะที่อันหลิงเกอวางพู่กันลงแล้วกำลังยืดเส้นยืดสายก็ได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้นจากนอกหน้าต่าง
“ใคร ! ”
จากนั้นนางก็หันหน้าไปแล้วเห็นเพียงเงาคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง
คนผู้นั้นรูปร่างสง่างามยิ่งนัก หลังจากเข้ามาในห้องของนางแล้วก็ทำราวกับเป็นเรือนของตน เมื่อมองใบหน้านั้นอย่างชัดเจนอีกครั้งจึงได้รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครไปมิได้นอกจากมู่จวินฮาน
ทันใดนั้นภายในใจของอันหลิงเกอรู้สึกดีใจยิ่งนักโดยที่นางมิทันรู้ตัว ทำให้แววตาเต็มไปด้วยประกายยินดี “ท่านอยู่ม่อเป่ยมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงกลับมาได้เจ้าคะ ? ”
“เรื่องที่ม่อเป่ยข้าจัดการเรียบร้อยแล้วก็ต้องกลับมาสิ”
อาจเพราะหลายวันมานี้ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายจึงทำให้ร่างกายของมู่จวินฮานซูบผอมลง ใบหน้าของเขาจึงดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
เขาเดินเข้ามาใกล้อันหลิงเกอพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
“ข้าคิดถึงเจ้า แล้วเจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ ? ”
ลมหายใจอุ่นร้อนของบุรุษรินรดอยู่ข้างใบหูของอันหลิงเกอจนติ่งหูของนางค่อย ๆ เห่อร้อน รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวราวกับจักมอดไหม้
เป็นเหตุให้ใบหน้าของนางแดงก่ำจึงถลึงตาใส่มู่จวินฮาน แต่ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของเขา ความหงุดหงิดที่มีอยู่ในใจก่อนหน้านี้พลันหายไปจนสิ้น
“ข้ามิคิดถึงท่านหรอกเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวออกมามิตรงกับใจพลางเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ แต่ก็ยังวางมาดขึงขังออกมา “ตอนนั้นท่านไปโดยมิบอกกล่าวสักคำ แค่ให้คนส่งจดหมายมาเท่านั้น มิมีแม้แต่คำลาด้วยซ้ำ ข้าจักคิดถึงคนเช่นท่านไปทำไมเจ้าคะ”
มู่จวินฮานได้ฟังคำพูดที่คล้ายขัดเคืองใจของนางและเห็นท่าทางโมโหราวกับเด็กน้อยของอันหลิงเกอก็อดมิได้ที่จักยื่นมือออกไปบีบแก้มนางเบา ๆ
“ตอนนั้นเรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ฝ่าบาททราบข่าวแต่มิยอมทำอันใด ข้าจึงทำได้เพียงรีบไปจัดการเรื่องที่ม่อเป่ยให้เรียบร้อย”
เขามิได้เอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในม่อเป่ย อันหลิงเกอก็มิได้ถาม โบราณว่าไว้ความรวดเร็วคือสิ่งสำคัญในสงคราม เมื่อเกิดเรื่องย่อมต้องเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยเยี่ยงการบอกลาเมื่อเทียบกับเรื่องการทหารย่อมต้องวางเอาไว้ทีหลังอยู่แล้ว
แต่มือของมู่จวินฮานที่นวดอยู่บนข้างแก้มของอันหลิงเกอราวกับนางเป็นก้อนแป้งเช่นนี้ก็ทำให้แววตาของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความเขินอาย
นางตีไปที่มือของเขา “ข้ามิใช่ก้อนแป้ง ท่านจักบีบไปบีบมาอีกนานไหมเจ้าคะ”
มือของมู่จวินฮานค่อย ๆ ผละออกจากใบหน้าของอันหลิงเกอ แต่ความรู้สึกนุ่มละมุนที่ติดอยู่บนฝ่ามือทำให้มิอยากปล่อยมือจากใบหน้านั้นแม้แต่น้อย
เขาระงับความต้องการที่อยากบีบแก้มนิ่ม ๆ เอาไว้ ก่อนกระแอมออกมาอย่างขัดเขิน “ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาเจ้าทันที แต่เจ้าทำเย็นชากับข้าเชียวหรือ ? ”
มู่จวินฮานกล่าวไปพลางทำท่าเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสราวกับถูกทำร้ายเสียมากมายไปด้วย
อันหลิงเกอโดนเขาหยอกล้อจนหลุดขำออกมา เผยให้เห็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใบหน้างดงามยิ่งงามจับตาจนยากหาคนเทียบเคียง
มู่จวินฮานอดก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้านางเข้ามากอดเอาไว้แนบอกมิได้
รูปร่างของเขาสูงใหญ่ อันหลิงเกอจึงสูงแค่บ่าของเขานั้น ยามนี้เมื่อโดนเขากอดเอาไว้ศีรษะของนางจึงแนบอยู่บนอกของเขาพอดี ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะของเขาอย่างชัดเจน
อันหลิงเกอกำลังตื่นตระหนกพยายามขยับหนีออกจากอ้อมกอดของเขา แต่มู่จวินฮานไวกว่ามาก มือเรียวยาวของเขากดแผ่นหลังของนางให้อยู่ในอ้อมกอดดังเดิม
“อย่าขยับ ข้าขอกอดเจ้าสักพักหนึ่ง”
มู่จวินฮานก้มหน้าลงเพื่อวางคางบนไหล่ของอันหลิงเกอแล้วสูดกลิ่นของเส้นผมที่หอมอ่อน ๆ ของนาง
“ทุกคืนวันที่อยู่ม่อเป่ย มิมีวันใดที่ข้ามิคิดถึงเจ้าเลย”
เสียงทุ้มต่ำของเขาแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ชวนให้ผู้คนหลงใหล
ทำให้ใบหูของอันหลิงเกอแดงก่ำ รู้สึกเขินอายจนมิกล้าเงยขึ้นสบตา ทำได้เพียงฝังตัวลงในอกของเขาเท่านั้น
คนที่ตกอยู่ในอ้อมกอดส่งเสียงงึมงำออกมาว่า อืม เท่านี้ก็เรียกรอยยิ้มจากมู่จวินฮานได้แล้ว เขารู้ว่าอันหลิงเกอเขินอาย ดวงตาของเขาจึงยิ่งฉายแววเอ็นดูออกมา
มู่จวินฮานมิได้ทำอันใดมากไปกว่าโอบกอดนางไว้เงียบ ๆ ครู่ใหญ่ ก่อนจักปล่อยมืออย่างอาลัยอาวรณ์
ตอนนี้อันหลิงเกอใบหน้าแดงก่ำคล้ายจักลุกเป็นไฟ มิรู้ว่าเป็นเพราะอ้อมกอดอบอุ่นหรือเพราะคำพูดนั้นของมู่จวินฮานกันแน่
มู่จวินฮานที่ใจสั่นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มกว้างพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอจนหน้าอกสั่นไหวเล็กน้อย
ผ่านไปครู่หนึ่งท่าทางทะเล้นของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไป ใบหน้าฉายแววจริงจังออกมา
“ข้าได้ยินองครักษ์เงาบอกว่าเจ้าค้นประวัติการรักษาในวังจนหมด อีกทั้งยังคัดลอกออกมาด้วย เจ้ากำลังหาสาเหตุการตายของฮูหยินใหญ่อันอยู่หรือ ? ”
แม้ตัวเขาอยู่ที่ม่อเป่ยแต่รู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของอันหลิงเกอ แสดงว่าตอนอยู่ม่อเป่ย เขายังส่งคนมาคอยติดตามอันหลิงเกอนั่นเอง
อันหลิงเกอจึงพยักหน้ารับ ในเมื่อมู่จวินฮานส่งคนมาคอยดูความเคลื่อนไหวของนางแล้ว คนฉลาดเยี่ยงเขาย่อมคาดเดาจุดมุ่งหมายของนางได้อยู่แล้ว
นางจึงตอบออกมาอย่างมิปิดบัง “ใช่แล้ว ตอนนั้นท่านแม่ร่างกายแข็งแรงมาก แต่เกิดป่วยกะทันหันจนแม้แต่หมอหลวงก็รักษามิได้ ผ่านไปมินานท่านแม่ก็สิ้นใจเจ้าค่ะ”
“แต่ข้าตรวจสอบบันทึกการรักษาทั้งหมดในวังหลวงแล้วมิพบบันทึกที่เกี่ยวข้องกับท่านแม่เลย ต้องมีคนทำลายมันไปแล้วแน่นอน”
ด้วยเหตุนี้อันหลิงเกอจึงยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังหลี่ซื่ออีกที
มิเช่นนั้นอาศัยแค่ความเป็นอนุภรรยาและน้องสาวที่เป็นหลี่กุ้ยเฟยย่อมมิมีทางแก้ไขประวัติการรักษาในสำนักหมอหลวงได้เลย
แววตาของอันหลิงเกอฉายแววครุ่นคิด มือทั้งสองจับกันแน่นอย่างห้ามมิอยู่