พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 343 มิกลัวคำคน
ตอนที่ 343 มิกลัวคำคน
“ท่านย่าต้องมีอายุยืนเป็นร้อยปีแน่นอน หลี่อี๋เหนียงเป็นเพียงอนุภรรยาคนหนึ่งมีสิทธิ์อันใดมาดูแลและจัดงานศพยามจากไปให้ท่านย่า ? ท่านควรห่วงตัวเองเสียมากกว่าว่าเมื่อไรจักมาคุกเข่าขอโทษข้า”
เมื่อโดนอันหลิงเกอตอกหน้าเช่นนี้ หลี่ซื่อถึงขั้นกล่าวมิออกและทำได้เพียงตอบออกไปด้วยความมิพอใจ “คุณหนูใหญ่วางใจเถิด ข้ามิใช่คนที่มิรักษาคำพูด”
พอกล่าวจบหลี่ซื่อก็มิอยากยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป นางจึงหันไปคำนับลาอันอิงเฉิง “ท่านพี่ ข้ารู้สึกมิค่อยสบาย ขอตัวกลับเรือนก่อนเจ้าค่ะ”
เมื่อได้รับอนุญาตจากอันอิงเฉิงแล้วหลี่ซื่อก็เดินนำสาวใช้ของตนออกไป
จากนั้นอันอิงเฉิงก็หันไปมองอันหลิงเกอพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายใจ
“เกอเอ๋อ เรื่องในวันนี้พ่อ…”
“ท่านพ่อมิต้องกล่าวอันใดหรอกเจ้าค่ะ ลูกเข้าใจดีว่าหลี่อี๋เหนียงเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด แล้วไปเป่าหูท่านให้มาสอบสวนลูกว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ลูกมิเก็บมาใส่ใจหรอกเจ้าค่ะ”
นางกล่าวพร้อมยิ้มออกมาอย่างใจกว้าง ใบหน้าไร้ร่องรอยของความเสียใจให้เห็น อันอิงเฉิงจึงวางใจและบอกให้นางดูแลตนเองให้ดี จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ส่วนแม่นมกัวมองร่างทั้งสองคนที่เดินจากไปแล้วนึกถึงอันหลิงเกอที่วันนี้โดนสงสัยว่าเป็นตัวปลอม ทั้งยังเป็นบิดาแท้ ๆ ที่หลงเชื่อคำกล่าวของอนุภรรยา แม้แต่นางที่เป็นคนนอกยังรู้สึกสะเทือนใจไปด้วย
แต่อันหลิงเกอยิ้มออกมาราวกับมิมีอันใดเกิดขึ้น มิหนำซ้ำรอยยิ้มยังสดใสเสียจนทำให้อดเอ็นดูมิได้
นางได้แต่ถอนหายใจออกมา มิรู้ว่าควรปลอบอันหลิงเกอเยี่ยงไร ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยออกมา “คุณหนูใหญ่ หากท่านโดนรังแก ฮูหยินผู้เฒ่าต้องให้ความเป็นธรรมกับท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น หากมิกระทบต่ออนาคตของจวน ท่านย่าย่อมเข้าข้างนางอยู่แล้ว
แต่หากวันใดนางกลายเป็นตัวขัดผลประโยชน์ของจวน ท่านย่าจักเข้าข้างนางหรือไม่ย่อมมิมีผู้ใดรู้ได้
พอนางได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งก็ทำให้รู้ว่าความสัมพันธ์ของตระกูลใหญ่นั้นบอบบางเพียงใด นางจึงมิเคยเสียใจกับเรื่องพวกนี้
ขอเพียงพวกเขามิคิดร้ายต่อนาง จักรักหรือไม่แล้วสำคัญตรงไหน ?
อันหลิงเกอทำเพียงยิ้มแต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา แม่นมกัวกลับคิดว่านางกำลังเสียใจจึงปลอบอันหลิงเกออีกพักใหญ่ ก่อนจักลากลับไปที่เรือนชิงเฟิง
หลังจากที่อันหลิงเกอสั่งให้คนเดินไปส่งแม่นมกัว แล้วปี้จูก็เดินเข้ามา
“คุณหนู ฮูหยินรองหลี่ก่อเรื่องอีกแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
ปี้จูเห็นท่าทางโมโหของหลี่ซื่อและอันอิงเฉิงจึงรู้ได้ทันทีว่าหลี่ซื่อต้องเป่าหูท่านโหวให้มาหาเรื่องคุณหนูอย่างแน่นอน
แต่คุณหนูสั่งให้พวกนางถอยออกไปก่อน ดังนั้นนางจึงมิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
อันหลิงเกอพยักหน้าตอบรับแล้วเล่าเรื่องที่หลี่ซื่อสงสัยว่านางคืออันหลิงเกอตัวปลอมให้ปี้จูฟัง แววตาของนางแฝงไปด้วยความขำขัน คาดมิถึงว่าหลี่ซื่อจักสงสัยไปได้ ความคิดช่างประหลาดยิ่งนัก
“มิแปลกที่นางจักสงสัยคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ” ปี้จูรินชาให้อันหลิงเกอดื่มแก้กระหาย ใบหน้ากลมป้อมเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูเปลี่ยนไปมากจริงๆ หากมิใช่เพราะบ่าวคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลา บ่าวก็คงสงสัยว่าคนอื่นปลอมเป็นท่านเจ้าค่ะ”
นางพูดออกมาเพื่อต้องการหยอกล้ออันหลิงเกอเล่นเท่านั้น แต่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลิงเกอชะงักไปเล็กน้อย
พลันเป็นเหตุให้นึกถึงเรื่องราวเมื่อชาติก่อนว่านางขี้ขลาดจนโดนอันหลิงอีกดหัวไว้ตลอดจนคนทั่วเมืองจิงรับรู้ว่าคุณหนูรองแห่งจวนโหวฉลาดมากความสามารถ แต่มิเคยมีผู้ใดรู้เลยว่าจวนโหวยังมีคุณหนูใหญ่ที่เป็นบุตรสาวของภรรยาเอกอีกทั้งคน
เมื่อกลับมาชาตินี้นางจึงฉีกหน้ากากของหลี่ซื่อ ทำลายแผนการของอันหลิงอี จากนั้นค่อยๆ ปูทางให้ตนจึงพบว่าเส้นทางตรงหน้าสนุกอย่างที่มิเคยเจอมาก่อน
ซึ่งสีหน้าของอันหลิงเกอเปลี่ยนไปเพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลี่อี๋เหนียงบอกว่าหากนางใส่ร้ายข้าจริง นางจักยอมเดินหนึ่งก้าวคำนับหนึ่งครั้งจากเรือนของนางมาถึงเรือนของข้า น่าเสียดายที่เมื่อครู่นางถูกแม่นมกัวยั่วโทสะจนกระอักเลือด นางจึงกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้นข้าจักเรียกเจ้ามาดูภาพหายากเสียหน่อย”
ปี้จูเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจพลางกะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากมั่นใจว่ามิได้ฟังผิดจึงเอ่ยถาม “ฮูหยินรองหลี่กลับไปได้สักพักแล้ว อีกประเดี๋ยวบ่าวจักไปที่เรือนของนางเพื่อเตือนว่าอย่าลืมในสิ่งที่กล่าวเอาไว้เจ้าค่ะ”
ปี้จูก็รู้นิสัยของหลี่ซื่อดี หลังจากหาข้ออ้างจากไปแล้วต้อง “ลืม” คำสัญญาอย่างแน่นอน
แต่คุณหนูของนางโดนตรวจร่างกายไปแล้ว หากปล่อยให้หลี่ซื่อ “ลืม” เรื่องนี้โดยง่ายก็เท่ากับคุณหนูใหญ่โดนทำให้อับอายโดยมิได้รับความเป็นธรรม
ปี้จูคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวต่อ “นางบังอาจมาทำให้คุณหนูอับอายถึงเพียงนี้จักปล่อยให้รอดมิได้เด็ดขาดเจ้าค่ะ”
นางพูดพร้อมมองไปยังอันหลิงเกอด้วยสายตาที่เปี่ยมคำถาม “คุณหนู ท่านปล่อยเรื่องนี้ให้บ่าวจัดการดีกว่าเจ้าค่ะ บ่าวจักทำให้นางได้รับผลกรรมแน่นอนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอก็มิได้คิดพูดจาไกล่เกลี่ยแต่อย่างใด หลังจากที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีกครั้งคติของนางที่ยึดถือก็คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ส่วนคติที่ว่ายอมถอยคนละก้าวจักเลี่ยงการทะเลาะได้ สำหรับอันหลิงเกอช่างไร้สาระสิ้นดี
หากยอมถอยคนละก้าวสามารถเลี่ยงการทะเลาะได้จริง เช่นนั้นชาติก่อนนางอดทนมาตลอดแล้วเหตุใดยังถูกสังหารในวันแต่งงาน เหตุใดยังถูกอันหลิงอีสวมรอยไปแต่งงานกับมู่จวินฮานได้ ?
ต่อให้ยอมถอยคนละก้าวแล้วเลี่ยงการทะเลาะได้จริง เหตุใดคนที่ยอมถอยต้องเป็นนางมิใช่พวกหลี่ซื่อ ?
เมื่อความคิดเยี่ยงนี้ปรากฏขึ้นก็เป็นเหตุให้ดวงตาของอันหลิงเกอคล้ายมีลมพายุแฝงไว้ภายใน ชาติก่อนนางขลาดเขลาและอดทนมากพอแล้ว สุดท้ายก็ยังพบจุดจบน่าอนาถอยู่ดี ฉะนั้นในชาตินี้นางต้องตามล้างแค้น ผู้ใดขวางทางก็กำจัดให้สิ้น !
แม้ต้องก้าวข้ามขวากหนามหรือพื้นที่เต็มไปด้วยโลหิต นางก็จักมีชีวิตอย่างมีความสุข !
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นดวงตาดำขลับก็เป็นประกายขึ้นมา มุมปากเผยรอยยิ้มที่แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ “ดี เรื่องนี้ข้ายกให้เจ้าจัดการได้เต็มที่”
หลี่ซื่อกระอักโลหิตได้ทันเวลาจึงมีข้ออ้างกลับไปพักผ่อนที่เรือน มิแน่อาจยังนอนอยู่บนเตียงไปอีกห้าหกวันแล้วอ้างว่า “มิสบาย” ลุกจากเตียงมิไหว พอนานวันเข้าคงคิดว่าอันหลิงเกอจักปล่อยวางเรื่องให้นางมาคุกเข่าขอโทษลงได้
การที่หลี่ซื่อลุกจากเตียงมิไหวเพราะกระอักเลือด หากอันหลิงเกอให้นางเดินไปพลางคุกเข่าคำนับไปด้วยจนถึงเรือนฉีอู๋ มิเท่ากับตั้งใจบีบให้นางป่วยหนักจนตายหรือ ?
เท่ากับจงใจทำร้ายหลี่ซื่อชัด ๆ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปผู้อื่นก็จักกล่าวว่าอันหลิงเกอใจดำอำมหิต แม้แต่แม่เลี้ยงก็มิละเว้น
หากอันหลิงเกอสนใจชื่อเสียงของตนแม้เพียงนิดเดียว เรื่องเช่นนี้ก็จักมิเกิดขึ้น
ทว่าสิ่งที่อันหลิงเกอมิสนใจที่สุดก็คือสิ่งลวงตาเยี่ยงชื่อเสียงพวกนี้เอง
ในเมื่อชีวิตนี้เป็นของตน ขอแค่เรามีความสุขก็พอ หากต้องโดนมัดมือมัดเท้าเพราะสายตาของผู้อื่น โน้นก็มิกล้าทำนี่ก็มิกล้าคิด การที่นางฟื้นขึ้นมาอีกครั้งจักมีความหมายอันใด ?
ใบหน้าที่งดงามของอันหลิงเกอถูกแสงแดดสีเหลืองทองตกกระทบ ทำให้นางดูเหมือนภาพลวงตาที่พร่ามัว “เจ้าอย่าลืมไปเตือนหลี่อี๋เหนียงว่าภายในสองวันข้าต้องได้เห็นนางมาคุกเข่าขอโทษ”