พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 344 เร่ง
ตอนที่ 344 เร่ง
เมื่ออันหลิงเกอบอกว่าภายในสองวันนี้ต้องได้รับการคุกเข่าขอโทษจากหลี่ซื่อ ปี้จูได้ฟังก็รับคำด้วยรอยยิ้มทันที
ในฐานะสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ นางแทบอยากให้หลี่ซื่อออกมาขอโทษเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
“คุณหนูวางใจเถิด บ่าวจักไปเตือนนางเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอพยักหน้า จากนั้นก็โบกมือให้อีกฝ่ายถอยไปได้ ปี้จูจึงเดินออกไป
ปี้จูที่เป็นสาวใช้ข้างกายของอันหลิงเกอ ตำแหน่งของนางในจวนยอมมิต่ำต้อย ตลอดทางที่เดินมายังเรือนของหลี่ซื่อจึงมีหลายคนเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น
แม้นางเป็นคนตรงไปตรงมาแต่มิได้หมายความว่านางจักมิเข้าใจโลก นางสนทนากับสาวใช้เหล่านั้นเพียงมิกี่ประโยคจนมาถึงประตูเรือนของหลี่ซื่อ
บ่าวเฝ้าประตูของหลี่ซื่อเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีดวงตาเฉียบคมราวกับเหยี่ยว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย กอปรกับมุมปากที่กดลงต่ำจึงทำให้ดูคล้ายคนที่พบความยากลำบากมาทั้งชีวิต ดวงตาคู่นั้นยังแสดงออกถึงความมิค่อยเป็นมิตร แค่มองมาก็พาลทำให้คนรู้สึกอารมณ์มิดีแล้ว
“หยุด ! ”
ปี้จูกำลังเดินเข้าไปข้างใน แต่โดนบ่าวเฝ้าประตูขวางไว้เสียก่อน
จากนั้นบ่าวเฝ้าประตูก็ถลึงตาใส่ปี้จู ใบหน้าที่มีริ้วรอยสั่นสะท้านพร้อมเอ่ยออกมาอย่างมิเป็นมิตร “นี่เป็นเรือนของฮูหยินรองหลี่ เจ้ามาทำอันใด ? ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของปี้จูหายไปนานแล้ว ยามที่เผชิญหน้ากับบ่าวเฝ้าประตู นางจึงวางอำนาจของสาวใช้ขั้นหนึ่งทันที
แม้นางอายุน้อยแต่ก็ฝึกฝนเรียนรู้อยู่ข้างกายอันหลิงเกอมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก บ่าวเฝ้าประตูที่เห็นดังนั้นก็เริ่มรู้สึกเกรงกลัวอำนาจของนางอยู่มิน้อย
“คุณหนูใหญ่ให้ข้ามาแจ้งข่าวแก่ฮูหยินรองหลี่ เจ้ารีบไปรายงานเร็วเข้า”
เรื่องที่หลี่ซื่อและอันหลิงเกอมิถูกกัน นางอยู่มานานถึงเพียงนี้ย่อมมองออกและเข้าใจเป็นอย่างดี
พลันทำให้บ่าวเฝ้าประตูเบะมุมปากพลางมองด้วยท่าทางดูถูก “คุณหนูใหญ่มีเรื่องอันใด เจ้าบอกข้าก็พอแล้วข้าจักไปรายงานให้นายหญิงทราบเอง”
“มิได้” ปี้จูส่ายหน้าพร้อมยืนยันหนักแน่น “เรื่องนี้คุณหนูใหญ่สั่งให้ข้าทำด้วยตนเอง ย้ำนักย้ำหนาว่าข้าต้องบอกฮูหยินรองหลี่ด้วยตนเองเท่านั้น”
บ่าวเฝ้าประตูมีท่าทีรำคาญแต่ก็ทำได้แค่บ่นอุบอิบ มิกล้าขวางปี้จูเอาไว้นอกเรือน
นางเบะปากอีกครั้งอย่างมิค่อยพอใจแล้วบอกให้ปี้จูรออยู่ที่เดิมก่อนจักเดินเข้าไปรายงาน
หลี่ซื่อที่โดนยั่วโทสะถึงขั้นกระอักเลือดตอนนี้กำลังนอนพักผ่อนบนเตียงอย่างอ่อนแรง
ส่วนที่ว่านางอ่อนแรงจริงหรือแสร้งทำนั้นมิมีผู้ใดรู้ได้
จากนั้นบ่าวเฝ้าประตูก็เปิดม่านออกแล้วเดินเข้ามาข้างใน สีหน้าที่เย่อหยิ่งเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นถ่อมตนในพริบตา
“เรียนนายหญิง คนของคุณหนูใหญ่มาขอพบเจ้าค่ะ”
นางยิ้มเต็มใบหน้าราวกับดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง
หลี่ซื่อที่นอนอยู่บนเตียงคิ้วขมวดขึ้นทันที สาวใช้ข้างกายเห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ยถามขึ้นมา “นางได้บอกหรือไม่ว่ามีเรื่องอันใด ? ”
“มิได้บอกเจ้าค่ะ” บ่าวเฝ้าประตูเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ซื่อก็กล่าวออกมาอย่างนอบน้อม “ปี้จูที่เป็นสาวใช้ข้างกายของคุณหนูใหญ่เป็นคนมาเองเจ้าค่ะ นางบอกแค่ว่ามีเรื่องต้องการพบท่าน ทั้งยังบอกด้วยว่าต้องบอกท่านด้วยตนเองเท่านั้น บ่าวจึงมิกล้าถามอันใดมากเจ้าค่ะ”
ภายในใจของหลี่ซื่อมีลางสังหรณ์บางอย่างจึงอดเลิกคิ้วขึ้นมามิได้
นางนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจักเอ่ย “ไปเรียกนางเข้ามา”
บ่าวเฝ้าประตูรับคำสั่ง ก่อนจักหมุนตัวออกไปเรียกปี้จูเข้ามา
“คารวะฮูหยินรองหลี่”
ปี้จูเข้ามาในห้องแล้วย่อกายคำนับให้หลี่ซื่อทันที นางมิรอให้หลี่ซื่ออนุญาตก็ลุกขึ้นยืนเสียเอง
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มและมองหลี่ซื่อด้วยแววตาห่วงใย “ฮูหยินรองหลี่เป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่ ? ”
ทั้งที่พวกมันเป็นคนยั่วโทสะนางจนกระอักเลือด ตอนนี้ทำเป็นส่งคนมาถามว่านางเป็นเยี่ยงไรบ้าง หลี่ซื่อคิดในใจว่าช่างน่าขันยิ่งนัก
ในขณะนี้นางโมโหมากแต่ใบหน้ายังฝืนยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มดูน่าเกลียดเหลือเกิน
“ไปบอกคุณหนูใหญ่ว่าข้าแข็งแรงดี บอกนางว่ามิต้องเป็นห่วง”
“เยี่ยงนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” ปี้จูยิ้มออกมาอย่างร่าเริง แววตาแฝงไว้ด้วยความยินดี “คุณหนูกังวลว่าท่านจักป่วยจนมิสามารถไปขอโทษนางได้ ในเมื่อท่านมิเป็นอันใดแล้วเรื่องขอโทษก็…”
“แค่กแค่ก แค่กแค่กแค่ก” ปี้จูยังกล่าวมิทันจบหลี่ซื่อก็ไอออกมาอย่างรุนแรงจนสาวใช้ข้างกายต้องรีบเข้าไปช่วยลูบหลังให้เบา ๆ
รอจนหลี่ซื่ออาการดีขึ้น สาวใช้คนนั้นจึงถลึงตาใส่ปี้จู “นายหญิงแค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้น เจ้าคิดเป็นจริงได้เยี่ยงไร ? เจ้าดูร่างกายของนายหญิงสิว่าอ่อนแอถึงเพียงนี้ เจ้ายังใจร้ายมาเร่งอีกหรือ ? ”
สาวใช้คนนั้นกล่าวออกมาอย่างคล่องแคล่ว ยิ่งได้รับสัญญาณจากหลี่ซื่อยิ่งกล้ามากขึ้น ถึงขนาดที่ว่ามือข้างหนึ่งเท้าสะเอวไว้ ส่วนอีกข้างชี้ไปที่ปี้จูอย่างข่มขู่ “ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามาตอนนี้ย่อมมิประสงค์ดี เจ้ามิหวังดีต่อนายหญิงจึงอยากอาศัยจังหวะที่นางมิสบายมาซ้ำเติม ! ”
เมื่อฟังก็รู้แล้วว่าสาวใช้คนนี้ตั้งใจตีวัวกระทบคราด ทำเป็นตำหนิปี้จูแต่ที่จริงกำลังตำหนิอันหลิงเกออยู่ต่างหาก
ปี้จูที่ปกติมิค่อยทะเลาะกับผู้ใดก็มิได้หมายความว่ามิสู้คน ถ้าเทียบกันเรื่องฝีปากแล้วนางพูดเก่งกว่าสาวใช้คนนี้ด้วยซ้ำไป
เมื่อได้ยินสาวใช้ของหลี่ซื่อพูดจากระทบอันหลิงเกอ ความโกรธที่คุกรุ่นภายในใจของปี้จูก็ปะทุขึ้นมาทันที ตอนนี้แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็มิมีให้เห็นอีกแล้ว ใบหน้ากลมป้อมเต็มไปด้วยความเย็นชา “ฮูหยินรองหลี่ร่างกายอ่อนแอหรือ ? ข้าคิดว่านางก็ดูมิได้อาการหนักจนถึงขั้นใกล้ลาโลกในเร็ววันนี้ แสดงว่ามิได้เป็นอันใดมาก อีกอย่างเมื่อครู่นางก็พูดเองว่าร่างกายแข็งแรงดี ข้าจึงได้พูดเรื่องขอโทษขึ้นมา เหตุใดตอนนี้มาโทษว่าเป็นความผิดข้าได้”
“ข้าคิดว่าสองคนนายบ่าวตั้งใจแสดงละครเพื่อกลั่นแกล้งข้ามากกว่า แต่หากฮูหยินรองหลี่คิดปัดเรื่องขอโทษไปล่ะก็ วิธีนี้ใช้มิได้ผลหรอกเจ้าค่ะ”
ปี้จูเอ่ยจี้ใจดำหลี่ซื่ออย่างมิเกรงใจสักนิด ทำให้หลี่ซื่อโกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด
หากตอนนี้นางยังยืนยันว่าร่างกายมิแข็งแรงก็เท่ากับนางป่วยหนักจนใกล้ลาโลกในอีกมินานน่ะสิ ใครจักอยากสาปแช่งตนเองกันเล่า ?
ในเวลานี้หลี่ซื่อมีใบหน้ามิสู้ดี ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ปี้จูหาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย นางจดจำคำสั่งของอันหลิงเกอได้เป็นอย่างดี “ฮูหยินรองหลี่ คุณหนูใหญ่สั่งให้บ่าวมาถามท่านว่าหากตอนนี้ท่านมิได้เป็นอันใดมากแล้ว จักไปขอโทษคุณหนูใหญ่ได้เมื่อไรเจ้าคะ ? ”
“ถ้าร่างกายข้าหายดีแล้วจักไปแน่นอน” หลี่ซื่อตอบมาแบบเสียงลอดไรฟัน แต่ภายในใจคิดผลัดไปเรื่อย ๆ ดูสิว่าอันหลิงเกอจักบังคับนางได้เยี่ยงไร
ทว่าปี้จูที่ได้รับคำสั่งมาจากอันหลิงเกอย่อมมิปล่อยให้หลี่ซื่อรอดตัวโดยง่าย