พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 346 พูดใส่ไฟ
ตอนที่ 346 พูดใส่ไฟ
ปี้จูตริตรองว่าพวกสาวใช้ที่อยู่ในเรือนมิมีทางทำเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว นอกจากคนของหลี่ซื่อก็คิดมิออกว่าจักมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้
แม้จักมิรู้ว่าหลี่ซื่อแพร่งพรายเรื่องนี้ด้วยเหตุผลใด แต่ปี้จูต้องรีบไปเรียนให้อันหลิงเกอทราบเสียก่อน
วันนี้อันหลิงเกอตั้งใจรออยู่ที่เรือนฉีอู๋ เมื่อได้ยินว่าข้างนอกมีคนมารอดูเรื่องสนุกกันมากมาย นางก็มิได้สนใจอันใดทั้งกล่าวออกมาอย่างผ่อนคลาย “ในเมื่อหลี่อี๋เหนียงเป็นฝ่ายเชิญคนพวกนี้มาก็คงอยากให้พวกเขาได้ดูการแสดงที่แสนสนุก”
ถึงอย่างไรวันนี้คนที่ต้องคุกเข่าขอโทษก็คือหลี่ซื่อ คนที่ต้องขายหน้าก็คือหลี่ซื่อ นางยังต้องกลัวอันใด ?
อันหลิงเกอที่กำลังคิดเช่นนั้นพลันก็ได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นนอกเรือน ราวกับเหล่าคนรับใช้กำลังส่งเสียงโห่ร้องกันอยู่
นางจึงรีบเดินออกไปดู เมื่อเห็นบรรยากาศภายนอกเรือนแล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที
ด้านนอกเรือนมีผู้คนมารวมตัวกันจำนวนมิน้อย ได้ยินเสียงดังหนวกหูมาแต่ไกล แต่เทียบมิได้เลยกับภาพที่เห็นตรงหน้าตอนนี้
อันหลิงเกอมองภาพที่อยู่เบื้องหน้าคือหลี่ซื่อคุกเข่าอยู่บนพื้น เริ่มก้มหัวคำนับลงพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า หน้าผากโขกพื้นจนเกิดเสียงดัง
เสียงนั้นกระทบลงจิตใจของผู้พบเห็นจนรู้สึกเจ็บหน่วงอยู่ภายในใจ
ทันใดนั้นก็มีบ่าววัยกลางคนผู้หนึ่งทนดูต่อมิได้จึงกล่าวขึ้นมา “มิรู้ทราบว่าฮูหยินรองหลี่ไปทำอันใดผิด คุณหนูใหญ่จึงกลั่นแกล้งโดยให้นางเดินหนึ่งก้าวแล้วคุกเข่าคำนับหนึ่งก้าวจากเรือนของตนมาถึงเรือนของคุณหนูใหญ่ ถ้าเดินเช่นนี้ต่อไปต้องล้มป่วยเป็นแน่”
“มิเพียงเท่านี้หรอก” สาวใช้อีกคนพูดต่อทันที “ได้ยินว่าเมื่อวานฮูหยินรองหลี่ยังโดนยั่วโทสะจนกระอักโลหิตออกมาด้วย วันนี้ก็…เฮ้อ คุณหนูใหญ่ร้ายกาจเสียจริง นางทนเห็นคนขวางหูขวางตามิได้ ผู้ใดที่มีความเห็นมิตรงกับนางก็ต้องถูกกลั่นแกล้งทั้งนั้น”
บ่าวสองคนโต้ตอบกันไปมาจนทำให้คนที่มายืนดูก็พากันส่งเสียงขึ้น
พวกคนรับใช้หลายคนที่มิรู้ความจริงก็เข้าไปยืนข้างกายพวกนางพลางสอบถามเสียงดังไปหมด
“จริงหรือ ? คุณหนูใหญ่บังคับให้ฮูหยินรองหลี่มาคุกเข่าขอโทษเยี่ยงนั้นหรือ ? คุณหนูใหญ่มีชื่อเสียงว่าเป็นคนใจกว้างมีเมตตา จักทำเรื่องเช่นนี้ได้ลงคอจริงหรือ ? ”
“ตอนแรกข้าก็มิเชื่อหรอก แต่เจ้าดูฮูหยินรองหลี่ตอนนี้สิ โลหิตที่เปื้อนบนหน้าผากน่ากลัวยิ่งนัก”
หลี่ซื่อทำราวกับมิได้ยินเสียงดังโวยวายของพวกคนรับใช้ นางยังคงเดินไปคำนับไปเรื่อย ๆ
เพราะการกระทำนี้ของนางจึงทำให้หลายคนที่อยู่รอบข้างแอบมองสังเกตเช่นกัน
ส่วนบ่าวที่เอ่ยปากเป็นคนแรกก็ส่งเสียงอีกครั้ง “พวกเจ้าดูสีหน้าของฮูหยินรองหลี่สิ ซีดเซียวยิ่งกว่ากระดาษเสียอีก น่าสงสารจริง ๆ นางเลี้ยงดูบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ราวกับบุตรของตนก็มิปาน แต่ผู้ใดจักคิดว่าคุณหนูใหญ่มิได้สนใจความสัมพันธ์เก่าก่อนแม้แต่น้อย พอมีอำนาจก็แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กับนาง ข้าคิดว่าเมื่อก่อนที่ดูสนิทสนมกับฮูหยินรองหลี่ก็คงเป็นแค่การแสดงทั้งนั้น เจ้าดูอำนาจของคุณหนูใหญ่ตอนนี้สิ ! ”
บ่าวคนนี้พูดเปลี่ยนจากผิดเป็นถูก กลับดำเป็นขาว ปี้จูรู้สึกโกรธจนมือสั่นไปหมด แทบอยากฟาดหน้าอีกฝ่ายแรง ๆ สักทีเพื่อจักได้หุบปาก
ใบหน้าของปี้จูแดงก่ำ กำลังจักพุ่งตัวไปหาบ่าวคนนั้นแต่ถูกอันหลิงเกอดึงไว้เสียก่อน
“เจ้าทำงานอยู่ที่เรือนใด ? ”
อันหลิงเกอเหลือบมองหลี่ซื่อครู่หนึ่ง คาดคะเนว่าหลี่ซื่อคงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจักเดินมาถึงเรือนฉีอู๋ จากนั้นจึงเบนสายตากลับมา ดวงตาดำขลับจ้องไปยังบ่าวที่กล่าวเมื่อครู่
บ่าวที่เป็นคนกล่าวใส่ไฟเมื่อครู่พอโดนสายตาของอันหลิงเกอจ้องมองก็รู้สึกหวาดกลัวจนทำอันใดมิถูก
นางคาดเดามิถูกว่าตอนนี้อันหลิงเกอหมายความว่าเยี่ยงไร เพียงรู้สึกว่าสายตาที่จ้องจับผิดเช่นนี้ทำให้รู้สึกร้อนตัวขึ้นมา
แต่เมื่อนึกถึงเงินที่หลี่ซื่อส่งมาให้เมื่อวานแล้วนางก็กลืนน้ำลายลงคอ พยายามทำท่าทางให้เป็นปกติที่สุด “เรียนคุณหนูใหญ่ บ่าวทำงานอยู่ที่เรือนของคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอร้อง อ๋อ ขึ้นมา อยู่ ๆ ดวงตาที่เปล่งประกายก็เต็มไปด้วยสายตาน่าเกรงขาม “เจ้าเป็นบ่าวเรือนคุณชายใหญ่แล้วมาอยู่ที่หน้าเรือนของข้าเพราะเหตุใด ? มิมีงานต้องทำหรือ ? หากเป็นเช่นนั้นข้าต้องพูดกับหลี่อี๋เหนียงว่าจวนโหวมิเลี้ยงคนว่างงานและให้นางไล่คนที่มิทำงานทำการออกไป”
เมื่ออันหลิงเกอพูดเช่นนี้ ใบหน้าของอีกฝ่ายก็แข็งค้างขึ้นมาในชั่วพริบตา ที่จริงแล้วเจ้านายของจวนนี้มีน้อยคน เหล่าคนใช้จึงมิค่อยมีงานให้ทำมากนัก เช่นนั้นก็คงมิมีคนมารวมตัวกันมากถึงเพียงนี้หรอก
เมื่อรู้ว่าอันหลิงเกอต้องการข่มขู่เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู นางก็รู้สึกโมโหจนน้ำเสียงที่กล่าวออกมาเต็มไปด้วยความมิพอใจ
“คุณหนูใหญ่คงมิทราบว่างานของบ่าวทำเสร็จตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ พอได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ให้ฮูหยินรองหลี่มาคุกเข่าขออภัย บ่าวจึงอยากมาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ”
ต่อหน้าเจ้านายช่างกล้าพูดขึ้นเสียงโดยมิเกรงกลัวเช่นนี้ นางก็ถือว่ากล้ามิเบาเลย
อันหลิงเกอยกยิ้มออกมา แววตาลุ่มลึกหาได้มีรอยยิ้มปรากฏอยู่ไม่ ทว่าเปรียบเสมือนบ่อน้ำลึกที่ไร้ก้นบ่อเสียมากกว่า “อย่างนี้เองหรือ ข่าวของเจ้าช่างไวดีเสียจริง นอกจากมิตั้งใจดูแลปรนนิบัติคุณชายใหญ่แล้วยังมีเวลาไปสืบเรื่องที่มิเกี่ยวกับเจ้านายตนเองอีก ช่างว่างงานเสียจริง”
บ่าวผู้นั้นได้ฟังก็กลัวว่าอันหลิงเกอจักใช้ข้ออ้างที่นางว่างงานมาขับไล่นางออกจากจวนจึงรีบกลับคำทันที “เรื่องข่าวนี้บ่าวก็ฟังมาจากผู้อื่นอีกทีเจ้าค่ะ บ่าวมิได้เป็นคนไปสืบเองเลยเจ้าค่ะ”
“ผู้ใดจักว่างเอาเรื่องเช่นนี้ไปพูดกัน ต้องเป็นเจ้าที่เกียจคร้านมิยอมทำงาน ทั้งวันจึงเอาเวลาไปสืบเรื่องนั้นเรื่องนี้แทน” ปี้จูกล่าวเสริมพร้อมจ้องนางด้วยสายตามิพอใจ
เมื่อโดนคำกล่าวของปี้จูบีบคั้น นางจึงยอมพูดทุกอย่างจนหมด “เรื่องนี้สาวใช้ข้างกายของฮูหยินรองหลี่เป็นคนบอกเองเจ้าค่ะ บ่าวมิได้เอาเวลาทำงานไปสืบข่าวเลยเจ้าค่ะ”
หลังจากนางสารภาพออกไปก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่เปลี่ยนไปของเหล่าคนใช้ที่อยู่รอบกายทันที
ปี้จูยกยิ้มอย่างเย็นชาพลางเลิกคิ้วขึ้น “มิน่าเจ้าถึงมายืนพูดใส่ไฟที่นี่แต่เช้า ที่แท้ฮูหยินรองหลี่ก็ส่งเจ้ามานี่เอง ลำบากเจ้าจริง ๆ ขนาดอยู่ไกลถึงเพียงนี้ยังเห็นอีกว่าใบหน้าของฮูหยินรองหลี่ซีดขาว สายตาดีขนาดนี้แต่มิถูกส่งไปทำงานร้อยเข็มที่ห้องเย็บปัก ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ”
ปี้จูพูดออกมาโดยมิเกรงใจแม้แต่น้อยว่าบ่าวคนนี้ถูกหลี่ซื่อส่งมาเพื่อใส่ไฟคุณหนูใหญ่ให้คนเข้าใจผิด หมายความว่าคำกล่าวเมื่อครู่ของอีกฝ่ายเชื่อถือมิได้
อันหลิงเกอเห็นปี้จูบีบคั้นจนบ่าวคนนั้นพูดมิออกก็ยกยิ้มมุมปาก
หลี่ซื่อตั้งใจให้คนปล่อยข่าวออกไปทั้งยังซื้อตัวคนรับใช้เพื่อมาพูดชักจูงเช่นนี้ คงอยากให้นางขึ้นชื่อว่าเป็นคน ‘อกตัญญู เลือดเย็น มิเคารพผู้อาวุโส’ ดังนั้นนางจักทำให้หลี่ซื่อสมปรารถนาได้อย่างไร ?
“ที่แท้ป้าหวังก็โดนฮูหยินรองหลี่บงการมานี่เอง ข้าคิดแล้วเชียวว่าเหตุใดนางจึงเรียกข้าด้วยความตื่นเต้นแล้วบอกให้มาดูเรื่องสนุก”
“ใช่ใช่ใช่ ถ้ามิใช่เพราะป้าหวัง ข้าก็คงมิทราบเรื่องนี้เลย”
“ดูท่าแล้วป้าหวังคงได้รับคำสั่งมาจากฮูหยินรองหลี่ เช่นนี้คำกล่าวของนางก็เชื่อถือมิได้”
เหล่าคนใช้ที่รู้ว่าโดนหลอกก็โวยวายออกมา มีเพียงมิกี่คนที่เห็นว่าหลี่ซื่อใกล้จักเดินมาถึงแล้ว