พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 349 ฝ่าฝืนกฎของจวน
ตอนที่ 349 ฝ่าฝืนกฎของจวน
“เป็นแค่ตัวปลอมแต่กล้าชี้นิ้วใส่ข้า ผู้ใดมอบความกล้าเช่นนี้แก่เจ้า ? ”
อันหลิงเกอยกเอาคำกล่าวเมื่อวานนี้ของหลี่ซื่อมาใช้บ้าง แต่มิรู้เพราะเหตุใดใบหน้าอันอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มกลับดูเหมือนมีไอสังหารลอยอยู่รอบกายทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวและมิอาจต่อต้านได้
จากนั้นนางก็ส่งสายตาให้ปี้จูที่สามารถเข้าใจความหมายทันทีและพุ่งไปข้างหน้าพร้อมยื่นมือไปจับที่ใบหน้าของ ‘หลี่ซื่อ’
การกระทำของปี้จูรวดเร็วมาก นางเคลื่อนไหวอย่างว่องไวและตอนที่ก้าวเท้าพุ่งไปนั้นหลี่ซื่อยังมิทันรู้ตัวด้วยซ้ำ
รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าปี้จูมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมยื่นมือมาจับที่ใบหน้าของนางเสียแล้ว !
“ว้าย ! ”
นางตกใจมากและกำลังจักก้าวถอยหลัง ทว่านางถอยหลังเร็วเกินไปจึงทำให้ยืนมิมั่นคง ทั้งยังเหยียบชายกระโปรงของตนเข้าอีกจึงทำให้ร่างทั้งร่างล้มลงกองกับพื้น
เหล่าคนรับใช้ที่มุงดูรอบข้างต่างมิคิดว่าจักได้เห็นภาพเช่นนี้ บางทีอาจเพราะพวกนางมิทันรู้สึกตัวหรือมิอยากหาเรื่องใส่ตัวก็ได้ ต่อให้มีคนยืนอยู่ตั้งมากมายก็มิมีผู้ใดกล้าออกมาแม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างยืนมอง ‘หลี่ซื่อ’ กองอยู่ที่พื้นเท่านั้น
เสียงที่ล้มตึงในครั้งนี้ดังกว่าเสียงโขกศีรษะเมื่อครู่หลายเท่า แต่คนรับใช้ที่อยู่รอบข้างยังเฝ้าดูกันอย่างเงียบ ๆ มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมาแม้แต่คำว่าน่าสงสารฮูหยินรองหลี่
ปี้จูที่หันไปมองอันหลิงเกอ เมื่อได้รับสัญญาณจึงก้มตัวลงทำทีเหมือนจักช่วยประคองหลี่ซื่อขึ้นมา
แต่นางมิรอให้หลี่ซื่อที่นั่งอยู่บนพื้นยื่นมือออกมาเพราะมือของปี้จูเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน นางมิได้จับที่มือของหลี่ซื่อแต่ลูบไปที่ข้างใบหูแล้วกระชากหน้ากากหนังมนุษย์ออกมา
“เป็นตัวปลอมจริงด้วย ! ”
หลังจากนั้นปี้จูก็ลุกขึ้นยืน หางตาเหลือบมองคนที่โดนเผยโฉมหน้าแท้จริงซึ่งนั่งอยู่บนพื้น ขณะเดียวกันก็จดจำอีกฝ่ายได้ทันทีเพราะนางคือสาวใช้ข้างกายของหลี่ซื่อที่ชื่อว่า ฟู่ชิง
อันหลิงเกอเดินไปมองใบหน้าที่ซีดเผือดของฟู่ชิงโดยท่าทางของตนยังดูสงบนิ่งเช่นเคย แสดงว่าคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว
“จงพูดมา หลี่อี๋เหนียงให้เจ้าปลอมตัวมาใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่ชิงหลังจากโดนกระชากหน้ากากออกก็หน้าซีดทันที นางทำงานที่หลี่ซื่อสั่งมิสำเร็จและหากกลับไปต้องโดนถลกหนังเป็นแน่ !
จิตใจกำลังถูกความกลัวเข้าครอบงำจึงทำให้ฟู่ชิงมิได้ยินคำถามของอันหลิงเกอ
อันหลิงเกอจึงถามซ้ำอีกครั้ง แววตาแฝงความเย็นชาอยู่ลึก ๆ ไอเย็นที่สัมผัสได้ทำให้ฟู่ชิงคืนสติมาอีกครั้ง สายตาของนางมองไปโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งจนในที่สุดก็เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา
“เรียนคุณหนูใหญ่ เมื่อวานนี้ฮูหยินรองหลี่กระอักโลหิตทั้งยังเป็นหวัดทำให้ลุกจากเตียงมิไหว แต่เมื่อวานท่านก็สั่งให้ปี้จูไปแจ้งฮูหยินรองหลี่ที่เรือนว่าต้องการให้นางมาขอโทษภายในสองวันนี้ให้ได้ ตอนนี้ฮูหยินรองหลี่กำลังร่างกายอ่อนแอจักเดินไปพลางคำนับไปด้วยได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”
“แต่ฮูหยินรองหลี่บอกว่าเพราะนางเข้าใจคุณหนูใหญ่ผิดไปจึงดื้อจักลุกจากเตียงเพื่อมาขอโทษด้วยตนเองให้ได้ บ่าวสงสารจับใจและทนมิได้ที่ต้องเห็นนางลำบาก บ่าวจึงรอให้นางดื่มยาแล้วหลับไป ก่อนจักหาคนมาทำหน้ากากแล้วปลอมตัวเพื่อมาขอโทษคุณหนูใหญ่แทนนายหญิงเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินรองหลี่ตอนนี้ยังนอนอยู่บนเตียงแล้วจักสั่งให้บ่าวทำเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ? คุณหนูใหญ่ เรื่องนี้เป็นความคิดของบ่าวเอง ฮูหยินรองหลี่มิได้รู้เรื่องอันใดด้วย ท่านได้โปรดปล่อยนางไปเถิดเจ้าค่ะ ! ”
การคอยคิดแผนต่าง ๆ ให้หลี่ซื่ออยู่บ่อยครั้งจึงทำให้สมองของฟู่ชิงคิดแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็โดนจับได้แล้วหลี่ซื่อคงมิปล่อยนางไป มิสู้นางทำความดีเพื่อชดเชยความผิดและทำให้ทุกคนเห็นว่าตอนนี้หลี่ซื่ออ่อนแอมากเพียงใด ส่วนอันหลิงเกอคอยแต่บีบบังคับหลี่ซื่อให้ได้ ส่วนนางเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์จึงต้องการรับโทษแทนเจ้านาย…
คนที่มิได้รู้ความจริงก็เกือบประทับใจไปกับสิ่งที่นางกล่าว !
ปี้จูที่เห็นฟู่ชิงเปลี่ยนผิดเป็นถูก ใบหน้ากลมป้อมก็แดงก่ำขึ้นมาแต่มิรู้จักหาคำใดมาโต้กลับฟู่ชิง
ตัวนางก็นับว่าเป็นผู้ที่มีคารมคมคายหาตัวจับยากแล้ว ผู้ใดจักคิดว่าฟู่ชิงก็เจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ !
อันหลิงเกอเห็นท่าทางของปี้จูจึงตบที่บ่าอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อให้ใจเย็น จากนั้นมองไปที่ฟู่ชิง
“นายบ่าวรักใคร่กันดีเสียจริง ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก” คำพูดของอันหลิงเกอแฝงไว้ด้วยการเสียดสี แต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มบาง “เพียงแต่ข้ามิรู้ว่าสาวใช้ตัวเล็ก ๆ เยี่ยงเจ้า ถ้าไร้คำสั่งของหลี่อี๋เหนียงแล้วจักมีความสามารถไปหาหน้ากากเยี่ยงนี้ได้หรือ ? ”
หน้ากากหนังมนุษย์มิใช่เรื่องลึกลับในราชวงศ์ต้าโจวและคนในจวนโหวย่อมเคยได้ยินเรื่องประเภทนี้มาบ้าง
ทว่าหน้ากากหนังมนุษย์มิใช่ทุกคนจักมีได้ แม้แต่อันหลิงเกอก็มิมี ดังนั้นฟู่ชิงที่เป็นแค่สาวใช้ข้างกายของหลี่ซื่อจักไปหาหน้ากากเช่นนี้มาจากที่ใด ?
อีกอย่างคือหน้ากากนี้ทำเลียนแบบใบหน้าของหลี่ซื่อย่อมมิมีทางที่หลี่ซื่อมิทราบเรื่องนี้แน่นอน
คำพูดของอันหลิงเกอสามารถหักล้างคำกล่าวอ้างของฟู่ชิงได้หลายจุด ทำให้เหล่าสาวใช้ที่เริ่มเอนเอียงเพราะคำของฟู่ชิงเกิดความสงสัยแทน แต่ทุกคนก็ปิดปากเงียบมิกล้าวิพากษ์วิจารณ์ส่งเดช
เมื่อครู่ฟู่ชิงเพิ่งเรียกร้องความสงสารโดยการรับบทสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ บอกว่าหลี่ซื่อป่วยหนักแต่ยังรักษาสัญญา มีเพียงอันหลิงเกอที่ใจคอโหดร้ายและคอยบีบบังคับผู้อื่น
แต่อันหลิงเกอมิได้โกรธ มิหนำซ้ำยังกล่าวออกมาอย่างใจเย็นมีเหตุผลทำให้ความลำพองใจที่นางมีเมื่อครู่มลายหายไปจนสิ้น
นางเกลียดความเซ้าซี้ของอันหลิงเกอที่สุด สีหน้าจึงเปลี่ยนไปแต่ยังเถียงคอเป็นเอ็นออกมา “คนบ้านเดิมของบ่าวรู้จักยอดฝีมือในการทำหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ผู้หนึ่ง บ่าวจึงไหว้วานให้เขาช่วยแล้วอาศัยตอนที่ฮูหยินรองหลี่นอนหลับก็ให้คนเข้ามาทำหน้ากากเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ฟังแล้วก็สมเหตุสมผล
ทว่าอันหลิงเกอยังถามต่อพร้อมแย้มยิ้ม “ยอดฝีมือที่เจ้าหมายถึงเป็นคนในจวนของเราหรือ ? ”
คำถามของอันหลิงเกอทำให้ฟู่ชิงมีท่าทีลังเลชั่วอึดใจ หากตอบว่าคนผู้นั้นเป็นคนในจวน อันหลิงเกอต้องหาวิธีพาตัวกู่โมโม่ออกมาแน่ กู่โมโม่ถือเป็นไพ่ใบสำคัญในมือของหลี่ซื่อ เรื่องนี้จักเปิดเผยออกไปมิได้เด็ดขาด !
เมื่อนางคิดดีแล้วจึงตอบว่า “มิใช่เจ้าค่ะ ยอดฝีมือคนนั้นเดินทางไปทั่ว สหายของบ่าวรู้จักเขาโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงให้เขามาช่วยเจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนั้นก็หมายความว่าเจ้ามิได้แจ้งผู้ใดและมิได้รับอนุญาตก็นำคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนใช่หรือไม่ ? ” อันหลิงเกอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่อยู่ ๆ แววตาก็เฉียบคมขึ้น คิ้วที่เลิกขึ้นเล็กน้อยแฝงไว้ด้วยอำนาจที่มิอาจขัดขืนได้
น้ำเสียงของนางช่างผ่อนคลายแต่ข้อกล่าวหาที่พูดออกมาทำให้ฟู่ชิงมิสามารถรอดพ้นจากความผิดได้
เนื่องจากฟู่ชิงคิดเพียงว่าต้องมิเอ่ยชื่อของกู่โมโม่ออกมา แต่คาดมิถึงว่าการที่นางปิดบังตัวตนของกู่โมโม่โดยบอกว่าเป็นคนนอกจวนก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าพาคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนโหวโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้านายคนใด และนี่ถือเป็นโทษสถานหนัก !
เมื่อเห็นฟู่ชิงนิ่งงัน ปี้จูจึงก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธ “ฟู่ชิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากคนที่พาเข้ามาในจวนโดยพลการเป็นโจรชั่วแล้วทั้งจวนของเราจักเป็นเช่นไร ? ท่านโหวมิอนุญาตให้พาคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนโดยไร้คำสั่งจากเจ้านาย แต่เจ้ากล้าฝ่าฝืนกฎของจวน รู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด ? ”