พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 353 โดนลักพาตัว
ตอนที่ 353 โดนลักพาตัว
กลิ่นคาวโลหิตที่คละคลุ้งบนร่างกายทำให้อันหลิงเกอเกินจักรับได้ ทั้งใบหน้าของนางยังเปื้อนไปด้วยหยดเลือดสาดกระเซ็น สภาพตอนนี้หากคนธรรมดาทั่วไปมาเห็นคงรีบไปแจ้งทางการให้ทราบเป็นแน่
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นนางจึงเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ แทน
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้ามากมายพร้อมเสียงเรียกของบ่าวรับใช้จากจวนหลี่ราวกับมิยอมเลิกราจนกว่าจักหาตัวนางพบ
อันหลิงเกอแนบกายไปกับกำแพงพลางฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ ไกลห่างออกไป จากนั้นจึงก้าวออกมาจากตรอกแคบ
แล้วหมุนตัวมุ่งหน้าไปยังโรงสุราของฉู่หยู สภาพเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตของนางทำให้ฉู่หยูตกใจอย่างมาก
“คุณหนู ท่านบาดเจ็บได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
ฉู่หยูใบหน้าซีดเผือด พูดจบก็เข้าไปตรวจดูอาการของอันหลิงเกอทันที
แต่อันหลิงเกอส่งสายตาให้ ฉู่หยูก็เข้าใจได้ทันทีจึงพานางเข้าไปในห้องรับรองภายในร้าน
“ข้ามิเป็นไร เลือดบนตัวก็เป็นเลือดของผู้อื่น”
อันหลิงเกอนั่งบนเกาอี้แล้วเอ่ย ฉู่หยูรีบรินน้ำชาจากกาที่อยู่บนโต๊ะให้ทันที
นางยกดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา
ฉู่หยูได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็ตกตะลึงพร้อมกล่าวออกมาอย่างมิอยากเชื่อ “เหตุใดหลี่อวิ๋นจึงกล้าเพียงนี้ ? เขาเสียสติไปแล้วหรือเจ้าคะ ? ”
ในเมื่อคุณหนูเป็นถึงจวิ้นจู่ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งและเป็นหมอหญิงเพียงคนเดียวแห่งราชวงศ์ต้าโจว แต่หลี่อวิ๋นยังกล้าลงมือกับนางกลางวันเช่นนี้ หวังที่จักสังหารนางให้ตาย นี่มิใช่แค่กล้าอย่างเดียว แต่ต้องเป็นคนที่เสียสติไปแล้ว !
ถ้าฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้ขึ้นมา ต่อให้หลี่กุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานมากเพียงใด ฮ่องเต้ก็มิมีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน
อันหลิงเกอก็คิดเช่นเดียวกันและด้วยเหตุผลนี้นางจึงสงสัยมิหาย
ตอนที่หลี่อวิ๋นลงมือกับนาง เกรงว่าเขามิได้นึกถึงผลลัพธ์ที่จักตามมา คงคิดเพียงอยากกำจัดนางจนมิทันได้ฉุกคิดว่าสุดท้ายคนที่รับกรรมจักกลายเป็นตน
พลันอันหลิงเกอก็นึกกลัวในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หากมิใช่เพราะยามว่างมีมู่จวินฮานคอยสอนวิชาตัวเบาให้ วันนี้นางคงได้ตายภายใต้เงื้อมมือของหลี่อวิ๋นอย่างแน่นอน
ตั้งแต่นางเกิดใหม่อีกครั้งก็ต่อสู้กับผู้อื่นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญมาโดยตลอด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่นางเผชิญหน้ากับคมดาบคมกระบี่เช่นนี้ ตอนที่กระบี่เล่มนั้นพุ่งเข้าใส่นางจึงได้ตระหนักว่าบนโลกใบนี้มิได้มีเพียงธนูลับที่ลอบทำร้ายผู้คน แต่ยังมีคมกระบี่ที่ต้องหลบหลีกอีกด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนั้นอันหลิงเกอจึงออกคำสั่งให้ฉู่หยูไปตรวจสอบจวนตระกูลหลี่
เพราะดูจากวรยุทธที่สูงส่งของหลี่อวิ๋นแล้วจวนหลี่ต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน
ในเมื่อนางหาเบาะแสจากหลี่ซื่อมิได้ บางทีอาจพบจากบรรดาคนรับใช้ของจวนตระกูลหลี่แทน
ฉู่หยูรู้ว่าอันหลิงเกอกำลังตรวจสอบหลี่ซื่ออยู่ ยามนี้ได้ยินคำพูดของนางก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ ทางด้านฮูหยินรองหลี่ ข้าน้อยให้ชางเยว่คอยจับตาดูอยู่ ตอนนี้จึงยังมิพบความผิดปกติอันใด ส่วนจวนหลี่ที่น่าสงสัย ข้าน้อยจักส่งคนไปตรวจสอบเองเจ้าค่ะ”
“อืม เรื่องนี้เจ้าต้องระวังให้มากด้วย” อันหลิงเกอนึกถึงวรยุทธที่สูงส่งของหลี่อวิ๋นก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“พยายามไปสืบข่าวมาก็พอ หากสืบมิพบอันใดก็อย่าฝืนเพราะการรักษาชีวิตไว้ได้คือเรื่องสำคัญที่สุด”
ฉู่หยูเห็นอันหลิงเกอกำชับเช่นนี้จึงตระหนักได้ว่าจวนตระกูลหลี่มิธรรมดา สีหน้าของนางก็อดเคร่งขรึมขึ้นมามิได้
ทั้งสองปรึกษาหารือกันอยู่ครู่หนึ่ง อันหลิงเกอจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจักเดินออกมาจากโรงสุราของฉู่หยู
แต่นางคาดมิถึงว่าบัดนี้ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์เยี่ยงนั้นอีกครา
อันหลิงเกอมองกลุ่มคนที่มีท่าทางโหดเหี้ยมด้วยความหวาดระแวง มือข้างหนึ่งลูบมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออย่างเตรียมพร้อม
“พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดต้องมาขวางทางข้าด้วย ? ”
นางถามประโยคที่ดูไร้เดียงสาออกมาจนกลุ่มคนที่ขวางอยู่ตรงหน้าถึงขั้นหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ นางมิรู้ว่าพวกเรามาทำสิ่งใด”
ชายท่าทางดุดันหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนอีกคนยกมือลูบคางตนเองไปมาอย่างหยาบคายพร้อมหัวเราะลั่น “สาวงามเยี่ยงเจ้าจักได้เป็นเมียโจรอยู่แล้วยังปากเก่งอีก ใช่หรือไม่ขอรับหัวหน้า”
“เหลวไหล ! ”
คนที่โดนเรียกว่าหัวหน้าเคาะที่ศีรษะของเขาไปครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าที่โหดเหี้ยม “นางเป็นคนที่คุณหนูอันให้จับตัวกลับไป พวกเจ้าอย่าคิดพิเรนทร์เด็ดขาด”
อันหลิงเกอได้ยินพวกโจรโต้ตอบกันไปมาจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอันหลิงอีบงการคนพวกนี้เพื่อให้มาลักพาตัวนาง
หลังจากที่นางเข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุแล้วมุมปากจึงยกโค้งขึ้น “แค่พวกเจ้ามิกี่คนคิดจับตัวข้า ดูไร้น้ำยาเกินไปหรือไม่ ? ”
มิต้องเอ่ยถึงวิชาตัวเบาของนางที่สามารถทำร้ายหลี่อวิ๋นได้ แค่ยาพิษที่นางมีอยู่ก็เพียงพอที่จักทำให้คนพวกนี้พ่ายแพ้ได้แล้ว
“ข้าได้ยินเรื่องความสามารถของเจ้ามาแล้ว” ชายที่เป็นหัวหน้ากล่าวออกมาอย่างดูแคลนพลางกวาดตามองอันหลิงเกออย่างประเมินอยู่ครู่หนึ่ง “แค่มีความรู้ทางการแพทย์และได้ยินว่าเจ้าใช้พิษเป็น แต่เจ้ามิรู้ตัวหรือว่าตนกำลังโดนพิษอยู่ ? ”
อันหลิงเกอรู้สึกตระหนกขึ้นมา มือที่ลูบมีดสั้นอยู่ชะงักค้างในทันที นางเพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้มิสามารถขยับเขยื้อนได้แล้ว
จากนั้นนางพยายามใช้วิชาตัวเบาอย่างตื่นตระหนก ทว่าพริบตาเดียวภาพเบื้องหน้าก็ดำมืดและสูญเสียการรับรู้ทั้งหมดไป
รอจนอันหลิงเกอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตอนนี้นางอยู่ในห้องโทรม ๆ ห้องหนึ่ง แสงจันทราส่องผ่านหน้าต่างผุพังเข้ามาทำให้พอมองเห็นว่ารอบกายมีเพียงชายคนหนึ่งยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ ส่วนโจรที่เหลือมิทราบว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ชายที่ยืนเฝ้าประตูเหมือนยังมิรู้ว่าตอนนี้นางฟื้นคืนสติและกำลังเดินสำรวจไปรอบห้อง
พวกมันโยนนางทิ้งไว้บนกองฟางโดยมิรู้ว่าลืมหรือตั้งใจที่จักมิมัดนางเอาไว้
ดี !
อันหลิงเกอผ่อนลมหายใจ มือกุมมีดสั้นเอาไว้และค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบ เมื่อมั่นใจว่าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างปกติแล้วนางจึงกระโดดขึ้นจากพื้นแล้วกรีดมีดสั้นลงบนคอของชายคนนั้นจนโลหิตกระจายเต็มไปหมด
อันหลิงเกอมองคนที่นอนตายอยู่บนพื้นแล้วเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของตน ก่อนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง สายฟ้าฟาดยามค่ำคืนสะท้อนให้เห็นใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
ริมฝีปากของนางสั่นเล็กน้อยพร้อมพ่นคำพูดเบา ๆ ออกมาจนมิอาจจับใจความได้
ทันทีที่พูดจบก็รู้สึกเจ็บที่บริเวณหน้าอกขึ้นมาราวกับวิญญาณร้ายที่มิยอมสูญสลายโดนขังเอาไว้ด้านในและกรีดร้องเพื่อจักได้ออกมาภายนอก
อันหลิงเกอยกมือกุมหน้าอกของตนแล้วเปล่งเสียงคล้ายกระซิบออกมา
“ข้าจักทำให้คนที่รังแกข้าต้องเสียใจกับสิ่งที่พวกมันทำ ! ”
ดวงตาของนางเฉียบคม ภายในแววตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
หลังจากสงบจิตสงบใจได้แล้ว นางจึงค่อย ๆ ขยับร่างกาย แขนและขาทั้งหมดพลันเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา ภายในร่างกายยิ่งรู้สึกร้อนรุ่มราวกับไฟแผดเผารวมถึงสติสัมปชัญญะด้วย
กล้าวางยาชั้นต่ำให้ข้าก่อนตายด้วยหรือ !
อันหลิงอี แค้นในครั้งนี้ข้าจักจดจำไว้จนวันตาย !
แววตาของอันหลิงเกอเย็นชาพลางกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นจนมีเลือดไหลซึมออกมา
เปลวไฟในดวงตาของนางกำลังสั่นไหว ร่างกายร้อนรุ่มคล้ายจักระเบิดออกมาก็มิปาน
อันหลิงเกอจึงสบถคำด่าออกไป ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงน้ำไหล
น้ำ !
ทำให้แววตาของนางทอประกาย ก่อนจักเดินไปตามเสียงน้ำไหล เมื่อถึงริมน้ำก็มีไอเย็นกระทบเข้าที่ใบหน้าของนาง
ตอนนี้นางมิได้สนใจร่างกายของตนที่กำลังอ่อนแอ อันหลิงเกอรีบตัดสินใจกระโดดลงไปในน้ำทันที
น้ำที่เย็นเฉียบโอบล้อมร่างอันบาดเจ็บของนางเอาไว้ ในที่สุดความร้อนรุ่มเกินบรรยายก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง