พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 358 หวังซื่อแท้งบุตร ?
ตอนที่ 358 หวังซื่อแท้งบุตร ?
“เรื่องที่พบสายลับแคว้นชิงเยว่ในเมืองหลวง ฮ่องเต้ทรงทราบหรือไม่เจ้าคะ ? ”
หากฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้ก็มิแน่ว่าอาจใช้โอกาสนี้จับกุมสายลับแคว้นชิงเยว่ จากนั้นก็สืบหาความลับของจวนตระกูลหลี่อีกทอดหนึ่ง !
เมื่อคิดว่าจักสามารถยืมพระหัตถ์ของฮ่องเต้เพื่อสืบหาความลับของจวนหลี่ได้ ดวงตาดำขลับของอันหลิงเกอก็ทอประกายขึ้นมา
มู่จวินฮานแค่มองก็รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่จึงหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกล่าวถ้อยคำที่ทำลายแผนของอันหลิงเกอทันที
“ดูจากความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีให้หลี่กุ้ยเฟยแล้ว ขอเพียงนางยังอยู่ก็มิมีทางที่ฮ่องเต้จักทำอันใดคนของจวนหลี่”
“ต่อให้ข้ารู้ว่าคนของจวนหลี่มีการติดต่อกับสายลับแคว้นชิงเยว่ แต่ก่อนที่จักมีหลักฐานแน่ชัด ข้าก็ยังทำอันใดพวกเขามิได้ ส่วนฮ่องเต้ยิ่งมิมีทางลงโทษจวนหลี่ด้วยเรื่องนี้แน่นอน”
ตามหลักแล้วเป็นเช่นนั้นจริง เพราะต่อให้มู่จวินฮานนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลฝ่าบาท คนของจวนหลี่ก็สามารถอธิบายได้ว่าพวกเขามิทราบเรื่องคนในจวนลอบติดต่อกับสายลับของแคว้นชิงเยว่ หรือบอกว่าพวกเขาโดนหลอกใช้ก็เป็นได้
อันหลิงเกอไตร่ตรองแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง ดวงตาที่เปล่งประกายเมื่อครู่ก็ค่อย ๆ หม่นแสงลง
สีหน้าและอารมณ์ของนางแสดงออกมาอย่างชัดเจน ไร้การเสแสร้งต่อหน้ามู่จวินฮานแม้แต่น้อย
มู่จวินฮานยกยิ้มแล้วปลอบนางด้วยเสียงทุ้ม “แต่หากเจ้าต้องการสืบเรื่องของจวนหลี่ ข้าจักสั่งองครักษ์เงาคอยอยู่ช่วยเจ้า ส่วนชางเยว่มิต้องให้นางไปสืบข่าวข้างนอกแล้ว นางมีฝีมือดีแต่มิถนัดเรื่องการสืบข่าว ให้นางคอยคุ้มครองอยู่ข้างกายเจ้าดีกว่า”
“มิได้หรอกเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอส่ายหน้าพร้อมปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่น “ม่อเป่ยอันตรายกว่าในเมืองหลวงมาก ท่านต้องไปนำทัพที่ม่อเป่ยยิ่งต้องพาองครักษ์เงาไปเผื่อเอาไว้ด้วย ข้ามิจำเป็นต้องใช้พวกเขาหรอกเจ้าค่ะ”
มีชางเยว่อยู่ข้างกายนางก็พอแล้ว หากมู่จวินฮานยังทิ้งองครักษ์เงาคนอื่นไว้อีกก็เท่ากับว่าข้างกายเขามิมีผู้ใดเลย ?
มู่จวินฮานตั้งใจส่งองครักษ์เงามาคอยช่วยอันหลิงเกอ แต่อันหลิงเกอมิยอมรับเอาไว้
ทั้งสองคนถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็เป็นมู่จวินฮานที่ยอมแพ้
เขาทำตามวิธีของอันหลิงเกอนั่นก็คือภารกิจของเขาสำคัญกว่า มิควรมีเรื่องผิดพลาดใดเกิดขึ้น ฉะนั้นต้องมีองครักษ์เงาคอยอยู่ข้างกายตลอดเวลา
มู่จวินฮานยิ้มออกมาอย่างจำยอม นัยน์ตาเปล่งประกายออกมา อันหลิงเกอกล่าวถึงสิ่งที่เขาควรระวังระหว่างนำทัพอยู่นานถึงครึ่งชั่วยาม สุดท้ายนางก็ยืนส่งมู่จวินฮานกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วเดินไปยังเรือนฉีอู๋
นางมิรู้ว่าการไปครั้งนี้ของมู่จวินฮานอีกนานเท่าใดจึงจักได้พบกันอีก ระหว่างที่กำลังรู้สึกหดหู่ใจนั้น อยู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงของสาวใช้บุกเข้ามาในเรือนเสียงดังโวยวาย
“คุณหนูใหญ่ ท่านรีบไปช่วยฮูหยินหวังด้วยเถิดเจ้าค่ะ ! ”
สาวใช้วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว บ่าวเฝ้าประตูหน้าเรือนยังมิทันขวางเอาไว้ นางก็พุ่งเข้ามาในเรือนของอันหลิงเกอแล้ว นางตะโกนเรียกอันหลิงเกออย่างกระหืดกระหอบ
ปี้จูเปิดม่านแล้วเดินออกไปดูก็เห็นสาวใช้ที่มิคุ้นหน้าคนหนึ่งจึงตำหนิออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าเป็นสาวใช้ของเรือนฮูหยินหวังอย่างนั้นหรือ ? ต่อไปอย่าวิ่งพรวดพราดเข้ามาในเรือนของคุณหนูใหญ่เช่นนี้อีก ช่างไร้มารยาทสิ้นดี”
“เวลาเช่นนี้ผู้ใดจักสนเรื่องมารยาทอีกเล่า ! ” ถ้อยคำของปี้จูหาได้รุนแรงไม่ แต่สาวใช้คนนั้นโต้กลับปี้จูทันที “รีบไปเรียนคุณหนูใหญ่ว่าฮูหยินหวังกำลังเกิดเรื่อง ให้คุณหนูใหญ่รีบไปช่วยฮูหยินหวังเร็วเข้า ! ”
ปี้จูขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นสาวใช้ของหวังซื่ออาจหาญมาสั่งให้อันหลิงเกอไปช่วยเช่นนี้ก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา อีกฝ่ายทำราวกับอันหลิงเกอไปติดหนี้บุญคุณเอาไว้จนต้องคอยทำตามคำสั่ง
แต่สาวใช้คนนี้บอกว่าหวังซื่อกำลังเกิดเรื่อง ปี้จูจึงฉุกคิดว่าหวังซื่อกำลังตั้งครรภ์อยู่ ต่อให้ภายในใจมิพอใจอย่างไรก็มิกล้าไล่สาวใช้คนนั้นออกไป
“เจ้ารีบบอกมาว่าเกิดอันใดขึ้น ? เกิดอันใดขึ้นกับฮูหยินหวังจนต้องให้คุณหนูใหญ่ไปช่วย ? ”
สาวใช้คนนั้นเห็นว่าตนมิโดนไล่ออกไปแล้วจึงรู้สึกโล่งอก จากนั้นก็รีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมา
ที่แท้หลังจากที่หวังซื่อตั้งครรภ์ก็มีเรื่องกระทบกระเทือนบุตรในครรภ์ถึงสองครั้งสองครา เพื่อความปลอดภัยของเด็กในท้องหลังเกิดเรื่องครั้งที่สองนางก็แทบอยู่แต่ในเรือน น้อยครั้งที่จักออกมาเดินข้างนอก
หวังซื่อเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ภายในห้องมาหลายเดือนจนรู้สึกเศร้าหมองไปหมด ดังนั้นจึงคิดที่จักออกมาเดินรับลมข้างนอกบ้าง
แต่ก็บังเอิญเกิดเรื่องขึ้นพอดี หวังซื่อที่เพิ่งออกจากเรือนเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนก็เกิดอุบัติเหตุจนทำให้ล้มลง จากนั้นก็มีเลือดไหลออกมา
สาวใช้คนนั้นเล่าไปก็รีบเอ่ยเร่งไปด้วย “รีบไปตามคุณหนูใหญ่มาเร็วเข้า หากไปช้าก็มิรู้ว่าฮูหยินหวังจักยังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่”
ท่าทางของนางช่างน่าโมโหเสียจริง ปี้จูที่ตอนนี้ในใจกำลังรู้สึกหงุดหงิดจึงตอบแค่ อืม จากนั้นก็หมุนตัวไปแจ้งเรื่องนี้ให้อันหลิงเกอทราบ
“อาสะใภ้รองล้มอีกแล้วหรือ?”
อันหลิงเกอได้ยินข่าวนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างตกใจ
คำว่า ‘อีกแล้ว’ แสดงถึงความตกใจของนางได้เป็นอย่างดี
ปี้จูก็รู้สึกว่าการตั้งครรภ์ครั้งนี้ของหวังซื่อช่างยากเย็นเสียจริง นับรวมกันแล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่เกิดเรื่องขึ้น
“ใช่เจ้าค่ะ สาวใช้ข้างกายของฮูหยินหวังกำลังมาเร่งให้คุณหนูใหญ่ไปช่วยอยู่เจ้าค่ะ”
กล่าวจบนางก็เบะปากออกมา หากมิใช่เพราะคุณหนูเป็นคนมีเมตตา นางมิมีทางสนใจสาวใช้ที่ทำเป็นวางมาดคนนั้นหรอก คุณหนูของนางมิได้ติดค้างอันใดฮูหยินหวังเสียด้วยซ้ำ มาทำเป็นสั่งอยู่ได้ !
อันหลิงเกอร้อง อ๋อ ขึ้นมา จากนั้นจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ “อาสะใภ้รองเกิดเรื่อง ข้ามิมีทางนั่งมองเฉย ๆ อยู่แล้ว ปี้จู พวกเราไปดูนางหน่อยเถิด”
ตอนนี้นางยังมิเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและมิแน่ใจว่าจักสามารถช่วยหวังซื่อได้หรือไม่ แต่มิว่าด้วยเหตุผลหรือด้วยไมตรี นางก็ควรไปดูอาการหวังซื่อเสียก่อน
เมื่อเห็นอันหลิงเกอเดินนำปี้จูออกมา สาวใช้ที่รออยู่ก็มีสีหน้ายินดีทันที นางรีบเข้าไปคำนับอันหลิงเกอแล้วเดินนำออกไปด้านนอก
“เรียนคุณหนูใหญ่ มิรู้ว่าฮูหยินหวังเป็นอันใด ท้องนี้จึงได้ทรมานนัก นางจักผ่านครั้งนี้ไปได้หรือไม่คงต้องพึ่งคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอได้ฟังคำพูดของสาวใช้ก็ทำเพียงเม้มริมฝีปากเข้าหากัน แต่สีหน้ามิบ่งบอกอารมณ์ใด
เมื่อมิเห็นอีกฝ่ายตอบสิ่งใด สาวใช้ที่เป็นคนช่างพูดก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที กอปรกับสถานการณ์ที่กำลังอยู่ในอันตรายของหวังซื่อ นางจึงมิได้พูดสิ่งใดออกมาอีก นางคิดเพียงแต่รีบพาอันหลิงเกอไปหาหวังซื่อโดยเร็วที่สุด
เพิ่งเดินเข้ามาในห้องของหวังซื่อ อันหลิงเกอก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว นางมองไปรอบห้องก็เห็นเพียงหวังซื่อกำลังนอนอยู่บนเตียง รอบกายนางมีหมอทำคลอดล้อมอยู่ เหมือนว่าจักให้หวังซื่อคลอดลูกออกมาเสียตอนนี้
นับแล้วก็พบว่าตั้งแต่ที่หวังซื่อตั้งครรภ์มาถึงตอนนี้ก็เจ็ดเดือนแล้ว สถานการณ์เช่นนี้หากเด็กสามารถคลอดออกมาได้จึงถือเป็นเรื่องดีที่สุด
“เรียนคุณหนูใหญ่ ท่านหมอลองทุกวิธีแล้ว แต่ฮูหยินหวังล้มจึงมิมีแรงเบ่งลูกออกมาเจ้าค่ะ บ่าวมิรู้จักทำอย่างไรจึงไปขอให้ท่านมาช่วยดูฮูหยินหวังให้หน่อยเจ้าค่ะ ! ”
สาวใช้กล่าวไปพลางคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นก็โขกศีรษะคำนับจนเกิดเสียงดัง