พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 364 คนใกล้ตาย
ตอนที่ 364 คนใกล้ตาย
อันหลิงอีที่กลับมาถึงห้องยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เดิมทีนางคิดว่าการบอกความจริงแก่อันหลิงเกอจักทำให้อีกฝ่ายเสียใจและเศร้าซึมได้สักพัก แต่คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจักตกตะลึงแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น ราวกับเรื่องนี้มิส่งผลอันใดเลย
ยิ่งไปกว่านั้นคืออันหลิงอียังโดนตบหน้าเข้าให้ !
เรื่องคราวนี้มิว่าคิดอย่างไรตนก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี
สาวใช้กำลังช่วยประคบเย็นบนแก้มที่บวมน้อย ๆ ของอันหลิงอี เมื่อเห็นท่าทางโมโหของนางก็กระซิบปลอบ “คุณหนูอย่าหงุดหงิดไปเลยเจ้าค่ะ อีกมินานท่านต้องได้เอาคืนอย่างแน่นอน ตอนนี้คุณหนูแค่รอข่าวจากคนผู้นั้นก็พอเจ้าค่ะ”
“เจ้าก็พูดง่ายดีนี่ แล้วจดหมายอยู่ที่ใดเล่า ? ”
พอสาวใช้กล่าวขึ้นมาก็ยิ่งทำให้ไฟในใจของอันหลิงอีปะทุเข้าไปอีก “เดิมทีควรได้ข่าวตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว นี่รอมาตั้งกี่วันกลับมิเห็นแม้แต่เงา ! ข้าคิดว่าพวกนั้นต้องหลอกให้ความหวังข้า ! ”
อันหลิงอีพูดแล้วก็ยังมิหายโกรธ มือที่วางบนโต๊ะจึงเริ่มทุบเพื่อเป็นการระบายโทสะพร้อมก่นด่าไปด้วย
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างจึงรีบยื่นมือไปปิดปากอันหลิงอีด้วยความตกใจพร้อมตักเตือนอย่างตระหนก “คุณหนูเอ่ยเช่นนี้มิได้เจ้าค่ะ! ถ้า…ถ้าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องล่ะเจ้าคะ ? ”
สาวใช้มิได้กลัวคนผู้นั้นได้ยิน ที่นางกลัวก็คือคนในเรือนจักได้ยินแล้วนำเรื่องนี้ไปฟ้องต่างหาก เกรงว่าเรื่องยังมิทันสำเร็จก็โดนเปิดโปงเสียก่อน
“ก็พูดให้พวกมันได้ยินน่ะสิ ! ”
อันหลิงอีมิได้สนใจคำเตือนของสาวใช้ ทั้งยังคิดว่านางแค่ส่งสารไปให้ถึงหูของคนผู้นั้น “พวกมันจักได้รู้ตัวบ้าง มิใช่มีเพียงข้าที่ร้อนใจอยู่ฝ่ายเดียวเยี่ยงนี้ ! ”
สาวใช้ถึงขั้นถอนหายใจออกมา มิว่าผู้อื่นกล่าวอย่างไรอันหลิงอีก็มิรับฟังเลย
ขณะที่สาวใช้เอาแต่ถอนหายใจและคิดว่าจักทำอย่างไรให้คุณหนูสงบลงบ้างก็ได้ยินเสียงคล้ายนกร้องดังมาจากที่ไกล
หลังจากตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง สาวใช้และอันหลิงอีก็ได้สติขึ้นมา พวกนางสบตากันและเป็นอันหลิงอีที่หยุดก่นด่าพร้อมส่งสายตาให้สาวใช้ จากนั้นก็เห็นอีกฝ่ายเดินไปที่ประตูห้องอย่างระมัดระวังพลางแง้มประตูออกเป็นช่องเล็กแล้วแนบใบหน้าไปกับช่องว่างระหว่างประตู พยายามฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก
จนเมื่อได้ยินเสียงของ*นกปู้กู่ดังขึ้นอีกสองสามครั้ง สาวใช้ก็มีสีหน้ายินดีทันที…
“มาแล้วเจ้าค่ะ ! ”
สาวใช้ปิดประตูแล้วตอบอันหลิงอีด้วยสีหน้ามั่นใจ จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบเสื้อคลุม พร้อมกล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้น “บ่าวไปแล้วจักรีบกลับมา คุณหนูรออยู่ที่นี่นะเจ้าคะ ! ”
ผ่านไปชั่วครู่ อันหลิงอีก็เห็นสาวใช้เดินกลับมาด้วยท่าทีรีบร้อนและยินดี พอเดินมาถึงสาวใช้จึงได้หยิบจดหมายที่อยู่ในกระเป๋าอกเสื้อออกมา
อันหลิงอีรับจดหมายมาเปิดอ่านอย่างชำนาญ พออ่านเสร็จแล้วก็เขียนตอบทันที
“มิได้ พวกเราจักมารอโดยไร้ประโยชน์เช่นนี้มิได้…”
เมื่อเขียนรายละเอียดจนเต็มหน้ากระดาษแล้ว จังหวะที่พับกระดาษใส่ซองจดหมาย อันหลิงอีก็นึกได้ว่าต้องทำอันใดบางอย่าง
สาวใช้เหมือนเข้าใจความหมายจึงรีบหยิบกระดาษอีกแผ่นวางไว้ข้างมือของอันหลิงอี เพียงครู่เดียวนางก็ลงมือเขียนจดหมายจนเต็มหน้ากระดาษอีกแผ่น เมื่อตรวจสอบเนื้อหาทั้งสองหน้ากระดาษเรียบร้อยแล้วนางก็พับจดหมายใส่ซอง จากนั้นยื่นให้สาวใช้นำไปมอบแก่คนผู้นั้น
ราตรีมืดมิด อันหลิงเกอที่นอนอยู่บนเตียงก็เหม่อมองผ้าม่านเหนือศีรษะอย่างเลื่อนลอย สมองคิดวนแต่ถ้อยคำของอันหลิงอี
ถ้อยคำพวกนั้นเหมือนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนางทั้งคืนจนแทบมิสามารถข่มตาลงได้
ด้านนอกเงียบสงบ มีเพียงเสียงของลมที่พัดผ่านใบไม้ อันหลิงเกอมิรู้ว่าถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้ง ขณะที่นางถอนหายใจออกมาก็ได้ยินเสียงเบา ๆ ดังจากด้านนอกหน้าต่าง…
อันหลิงเกอตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อตระหนักได้ว่าเสียงนี้มิใช่เสียงที่เกิดทหารยามเดินลาดตะเวน ภายในใจจึงรู้สึกตระหนกขึ้นมา ดวงตาของนางเข้มขึ้นจากนั้นก็รีบเด้งตัวลุกจากเตียงแล้วหยิบไม้ที่อยู่ตรงมุมห้องไว้แน่น นางหันไปที่หน้าต่าง “ผู้ใด ! ”
ทันใดนั้นก็มีชายชุดดำหลายคนพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างราวกับเป็นการตอบคำถามของอันหลิงเกอ ใบหน้าที่ปิดเอาไว้จึงเห็นแค่ดวงตาดุร้ายเท่านั้น ในมือของพวกมันมีดาบสะท้อนแสงจันทร์จนเป็นประกายสีเงินส่องสว่างภายในห้อง
“ลงมือ ! ”
ชายชุดดำที่เหมือนหัวหน้าเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจักยกดาบขึ้นพร้อมออกคำสั่ง ร่างของมันพุ่งมาด้านหน้าของอันหลิงเกออย่างรวดเร็ว จากนั้นชายชุดดำคนอื่นที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งตามมาด้วย เมื่อคมดาบเข้าประชิดลำคอของอันหลิงเกอ นางก็ตกใจจึงรีบแกว่งไม้ที่อยู่ในมือไปมาอย่างสะเปะสะปะยากต้านทานพวกมันได้ นางจึงถามพร้อมขยับไปใกล้ประตูห้อง
“พวกเจ้าเป็นใคร ? ”
อันหลิงเกอโดนบังคับให้ถอยหลังไปหลายก้าว นางมองชายชุดดำตรงหน้าพร้อมถามออกมาด้วยเสียงเย็นเยือก “ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา ? ”
“เจ้าก็เหมือนคนใกล้ตายอยู่แล้วจักรู้ไปเพื่ออันใด ? ”
คนที่ตอบอันหลิงเกอหาใช่พวกชายชุดดำที่อยู่ในห้องไม่ แต่เป็นชายชุดดำอีกคนที่เพิ่งกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง
“ในเมื่อข้าใกล้ตายอยู่แล้ว บอกข้ามาก็มิเห็นเป็นไร”
อันหลิงเกอรู้ดีว่าสู้มิได้ นางมองไปยังชายชุดดำสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นก็หัวเราะด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข้าแค่อยากรู้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ อย่างน้อยหลังจากที่ข้าตายแล้วจักได้ลากมันลงปรโลกเป็นเพื่อน”
ชายชุดดำมิได้รู้สึกโกรธเคืองแต่รู้สึกน่าขันเสียมากกว่า ทว่าพวกมันก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก เพียงยกดาบขึ้นแล้วฟันลงที่ร่างของอันหลิงเกอทันที
อันหลิงเกอที่คอยหลบหลีกคมดาบอยู่ก็ประเมินจำนวนคนและรูปแบบการจู่โจมของพวกมันไปด้วย ในสมองปรากฏเงาของคนผู้หนึ่งขึ้นมา นางจึงขมวดคิ้วพร้อมคำตอบที่ผุดขึ้นในใจ
มองแล้วคงมีคนอยากปิดปากนาง !
ฉัวะ ! เพียงพริบตาเดียวที่นางใจลอย คมดาบของชายชุดดำก็ฟันมายังแขนขวาของนางจนอาภรณ์เนื้อบางขาดลึก ทำให้ผิวบอบบางของนางมีเลือดไหลซึมออกมา
อันหลิงเกอรีบหลบไปอีกด้านทันที นางก้มหน้าและยังมิทันดูแผลอย่างละเอียด ดาบของชายชุดดำก็ยื่นมาตรงหน้าอีกครั้ง
“บัดซบ…”
อันหลิงเกอกัดฟันกรอด เปลี่ยนความโกรธเป็นแรงขับเคลื่อน นางยกไม้ขึ้นสูงแล้วทุบลงที่ศีรษะของชายชุดดำสองคนที่พุ่งมาด้านหน้า จากนั้นก็ยกขาขึ้นถีบบริเวณลำตัวของพวกมันอย่างแรงจนชายชุดดำชนเข้ากับประตูห้อง แต่ยังมิแรงพอที่จักสามารถทำให้ประตูเปิดออกได้
ประตูโดนปิดเอาไว้จากด้านนอก !
นี่คือสิ่งแรกที่อันหลิงเกอนึกได้ สีหน้าของนางจึงเข้มขึ้นพร้อมฟันที่ขบแน่น
ในเมื่อประตูเปิดมิออกก็ต้องหนีออกทางหน้าต่างเท่านั้น !
อันหลิงเกอฝืนความเจ็บเอาไว้แล้วเปลี่ยนทิศทางทันที นางหลบหลีกพร้อมต้อนพวกชายชุดดำไปทางหน้าต่าง ทว่านางยังมิทันคลำเจอกรอบหน้าต่างก็รู้สึกปวดบริเวณหลังคออย่างกะทันหัน ทันใดนั้นภาพด้านหน้าก็พร่าเลือนและดับสูญ…
…
*นกปู้กู่ คือ นกกาเหว่า