พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 369 ตระกูลหลี่มิล้ม
ตอนที่ 369 ตระกูลหลี่มิล้ม
อันหลิงเกอยืนมองพวกขอทานถูกองครักษ์ลากตัวออกไป แต่นางก็เปลี่ยนความตั้งใจของอันอิงเฉิงมิได้
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านมิเชื่อคำกล่าวของลูก ? หรือท่านคิดว่าลูกตั้งใจพาขอทานมาเพื่อใส่ร้ายน้องหญิงสามเจ้าคะ ? ”
ดวงตาดำขลับของนางวาวโรจน์ด้วยไฟแห่งความโกรธแค้น แต่เนื่องจากอยู่ต่อหน้าอันอิงเฉิงจึงได้ระงับความโกรธเอาไว้
อันอิงเฉิงยังมีสีหน้านิ่งขรึมและคำที่เขากล่าวออกมาก็แฝงไว้ด้วยการเสียดสี “เกอเอ๋อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากที่อีเอ๋อถูกส่งไปเรือนจวงจื่อนางคิดฆ่าตัวตาย ? โชคดีที่คนของตระกูลหลี่ไปเยี่ยมนางวันนั้นพอดีจึงพบนางและช่วยไว้ได้ทัน”
ภายในใจของอันอิงเฉิงคือตอนนี้อันหลิงอีเพิ่งผ่านเรื่องความเป็นความตายมา ย่อมไร้เรี่ยวแรงและกำลังที่จักมาทำร้ายอันหลิงเกอได้
ทว่าแท้จริงเรื่องการฆ่าตัวตายของอันหลิงอีเป็นการจัดฉากขึ้นทั้งหมดเพื่อให้นางได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่จวนตระกูลหลี่และเพื่อให้นางได้ทำบางสิ่งบางอย่างได้สะดวกขึ้นก็เท่านั้น !
มุมปากของอันหลิงเกอกระตุกทันที นางเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา “การฆ่าตัวตายของน้องหญิงสามเป็นละครที่นางจัดฉากขึ้นทั้งนั้น แม้แต่เรื่องนี้ท่านก็มิรู้เรื่องหรือเจ้าคะ ? ”
หากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่าอันอิงเฉิงถูกอันหลิงอีหลอกได้โดยง่าย แล้วหน่วยเซินจีหยิงที่อยู่ในมือของเขาก็ถือว่าเกินความสามารถไปแล้ว เพราะแม้แต่ข่าวแค่นี้ยังสืบให้รู้ความจริงมิได้ จักปกป้องความปลอดภัยของราชวงศ์ได้อย่างไร ?
อันอิงเฉิงเมินหน้าหนีทันที รู้สึกมิกล้าสบตาอันหลิงเกอและเริ่มมีท่าทีร้อนตัว
มือทั้งสองข้างของเขาไพล่อยู่ด้านหลังพร้อมกระแอมออกมาเบา ๆ “มิว่าอย่างไร ต่อไปอย่ากล่าวถึงเรื่องนี้อีก”
ท่าทางดื้อดึงแสดงออกชัดเจนว่าต้องการปกป้องอันหลิงอีจึงทำให้อันหลิงเกอรู้สึกเย็นชาขึ้นมาในใจ หัวใจของนางราวกับแข็งเป็นน้ำแข็งที่มิรู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ อีกแล้ว
สีหน้าของนางซีดเล็กน้อย มิอยากเชื่อว่าความจริงปรากฏต่อหน้าเช่นนี้อันอิงเฉิงยังปกป้องอันหลิงอีจนมิสนใจแม้แต่ชีวิตและความบริสุทธิ์ของนางด้วยซ้ำ
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงปกป้องน้องหญิงสามมากเพียงนี้เจ้าคะ ? ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนั้นท่านแม่มิได้ป่วยตาย นางโดนหลี่อี๋เหนียงทำร้ายจนตาย ! มาตอนนี้น้องหญิงสามก็ลงมือกับลูก ท่านก็ยังปกป้องพวกนางอีกหรือเจ้าคะ ! ”
อันอิงเฉิงรู้สึกละอายใจจนมิกล้ามองหน้าอันหลิงเกอ เขาทำแค่หันหน้าหนีไปอีกด้านแล้วเอ่ยอย่างมิมั่นใจนัก “เรื่องตอนนั้นน่ะหรือ ? ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก เจ้าจำได้อย่างนั้นหรือ ? เจ้าอย่าไปฟังถ้อยคำเหลวไหลของคนอื่นที่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ของพวกเจ้าพี่น้องเลย”
“ถ้อยคำพวกนี้น้องหญิงสามเป็นคนกล่าวออกมาเองเจ้าค่ะ” ดวงตาที่ล้ำลึกราวกับบ่อน้ำไร้ก้นบ่อของอันหลิงเกอแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน “นางคงมิได้กล่าววาจาเหลวไหล เพื่อตั้งใจทำลายความสัมพันธ์ของลูกกับนางหรอกเจ้าค่ะ”
สีหน้าของอันอิงเฉิงแข็งค้างทันที จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ? ถ้อยคำพวกนี้อีเอ๋อกล่าวออกมาเองหรือ ? ” เขาหันกลับมาด้วยความตกใจและคาดมิถึงพร้อมจ้องมองอันหลิงเกอคล้ายจักหาพิรุธให้ได้
อันหลิงเกอพยักหน้า จากนั้นก็เล่าเรื่องที่อันหลิงอีนัดพบนางที่ศาลาฉิงเฟิงคร่าว ๆ จนอันอิงเฉิงที่ได้ฟังถึงขั้นตกตะลึงไปพักใหญ่
ผ่านไปสักพักเขาจึงได้สติและหาเสียงของตนเจอ “อีเอ๋อรู้ว่าแม่ของเจ้าโดนหลี่ซื่อฆ่าตายอย่างนั้นหรือ ? ”
อันอิงเฉิงที่ได้สติหลังผ่านไปครู่ใหญ่ก็รู้สึกว่าเผลอกล่าวในสิ่งที่มิควรกล่าวออกไป
เขาก้มมองก็เห็นใบหน้าของอันหลิงเกอที่เต็มไปด้วยความตกใจอย่างแท้จริง
“ท่านพ่อ ท่านรู้ตั้งนานแล้วว่าท่านแม่โดนหลี่อี๋เหนียงฆ่าหรือเจ้าคะ ? ”
เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากของอันอิงเฉิง นางถึงได้รู้ว่าเขาทราบความจริงมาตั้งนานแล้ว
นางคิดมาตลอดว่าอันอิงเฉิงโดนปิดหูปิดตาเอาไว้ แต่แท้จริงคนที่โดนปิดหูปิดตาไว้อย่างโง่งมมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น !
แม้แต่ท่านพ่อก็รู้ว่าท่านแม่โดนคนสังหารมิใช่ตายเพราะอาการป่วย แต่เขาปิดบังนางทั้งยังโปรดปรานหลี่อี๋เหนียงที่เป็นฆาตกร ช่างน่าปวดใจยิ่งนัก !
อันอิงเฉิงรู้สึกละอายแก่ใจ ตัวเขาก็บังเอิญได้รู้ความจริงของเรื่องนี้หลังจากมาดูแลหน่วยเซินจีหยิงเช่นกัน
พอเขาทราบเรื่องนี้ ท่าทีที่เขามีต่อหลี่ซื่อก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนที่ส่งอันหลิงอีออกนอกจวน เขาจึงมิได้ใจอ่อนหรือลังเล เพราะตอนนั้นเขารู้ความจริงแล้วว่าคู่เรียงเคียงหมอนที่เหมือนเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาแท้จริงแล้วคืองูพิษ เรื่องนี้ทำให้เขากลืนมิเข้าคายมิออกและอึดอัดใจมิน้อย
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของอันหลิงเกอ เขาจึงได้แต่หลบเลี่ยงมิสามารถกล่าวอันใดออกมาได้
แต่อันหลิงเกอมิให้โอกาสเขาได้หลบเลี่ยง ดวงตาดำขลับเงยขึ้นสบแววตาของอันอิงเฉิงและถามย้ำอีกครั้ง “ท่านพ่อ ท่านรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นแต่รวมหัวกับพวกหลี่อี๋เหนียงมาปิดหูปิดตาลูก เพราะอยากทำให้จวนของเราดูเหมือนอยู่กันอย่างสงบสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
หากมิใช่เพราะเหตุนี้แล้วเหตุใดอันอิงเฉิงต้องปิดบังเอาไว้ เหตุใดมิประกาศเรื่องที่สองแม่ลูกกระทำให้ทุกคนรู้ ?
อันอิงเฉิงมิรู้จักทำเยี่ยงไร หรืออาจเพราะเขาแอบรู้สึกผิดอยู่แล้ว ทว่าเมื่อสบกับสายตาของอันหลิงเกอสุดท้ายเขาจึงยอมเอ่ยปาก “เกอเอ๋อ เรื่องนี้เป็นพ่อที่ผิดต่อเจ้า”
“ตอนนั้นที่ไปสู่ขอแม่ของเจ้าแต่งงาน พ่อเคยให้สัญญาว่าทั้งชีวิตจักรักเพียงนางคนเดียว ภายในจวนก็จักมีนางเป็นนายหญิงคนเดียว นางจึงยอมแต่งงานกับพ่อ”
“ตอนนั้นเราต่างก็รักใคร่กันดี แม้ผู้อื่นมองพวกเราเยี่ยงไร พ่อและแม่ของเจ้าก็หาได้สนใจสายตาของผู้อื่นไม่ เราใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข เพียงแต่ความสุขช่างสั้นนัก เมื่อพ่อได้พบหลี่ซื่อ…”
อันอิงเฉิงหวนนึกถึงอดีต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยถึงเรื่องในอดีตให้อันหลิงเกอฟัง
อันหลิงเกอฟังเรื่องราวของพวกเขาทั้งสามคนเงียบ ๆ เมื่อเอ่ยถึงหลี่อี๋เหนียงที่ขึ้นมาดูแลจวนแทนฮูหยินใหญ่อัน นางก็อดโมโหขึ้นมามิได้จนมือทั้งสองข้างสั่นเล็กน้อย
“ท่านพ่อ ในเมื่อท่านรู้ตั้งนานแล้วว่าหลี่อี๋เหนียงสองแม่ลูกมีแผนสกปรก เหตุใดจึง…”
“เหตุใดจึงมิจัดการพวกนางน่ะหรือ ? ” อันอิงเฉิงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น รอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความจำยอม “เหตุใดพ่อจักมิคิดกำจัดภัยร้ายที่อยู่ในจวนเล่า ? แต่เกอเอ๋อต้องรู้เอาไว้ว่าเรื่องทุกอย่างบนโลกมิได้มีเพียงขาวกับดำเท่านั้น บางครั้งการที่เจ้าจักทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ต้องไตร่ตรองถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย”
อันหลิงเกอเห็นรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าของอันอิงเฉิงแล้วมิรู้เหตุใดภายในใจจึงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา คล้ายว่าเพียงพริบตาเดียวอันอิงเฉิงก็แก่ชราไปมาก ใบหน้าอันน่าเกรงขามดูผ่านความยากลำบากมามากมายเหลือเกิน
นางเม้มริมฝีปากแน่น มิได้ฉุนเฉียวเช่นก่อนหน้านี้และมิได้บังคับให้อันอิงเฉิงอธิบายอันใดอีก แต่อันอิงเฉิงเหมือนว่าได้เปิดอกสนทนาไปแล้วเขาจึงกล่าวชี้แนะบุตรี “เกอเอ๋อ เจ้าต้องจำไว้ว่าหลี่ซื่อยังมีหลี่กุ้ยเฟยคอยหนุนหลังอยู่ หากหลี่กุ้ยเฟยยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทเช่นนี้ พ่อย่อมมิสามารถทำอันใดนางได้เลย”