พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 380 งานฉลอง
ตอนที่ 380 งานฉลอง
“ตอนนี้มู่ซื่อจื่อกลับมาแล้วต้องได้แต่งงานกับคุณหนูใหญ่ของพวกเราแน่ ! ”
“หากเป็นเช่นนั้นก็คือเรื่องมงคลยิ่งนัก”
สาวใช้ที่มาส่งข้าวยังคุกใต้ดินเดินผ่านไป แต่เสียงของพวกนางยังดังก้องอย่างชัดเจน
“ท่านแม่ ท่านฟังเสียงสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกสิเจ้าคะ ! ” อันหลิงอียังหวังจักได้ออกไปราวกับคนบ้า
“อีเอ๋อ เจ้าฝึกจิตใจให้สงบอยู่ที่นี่เถิด” หลี่ซื่อที่ตอนนี้มิเหลืออันใดแล้วจึงเห็นสถานการณ์ชัดเจนขึ้น มองแล้วคงต้องรอให้อีเอ๋อกลับไปจวนอ๋องอี้ก่อนจึงสามารถวางแผนใหม่อีกครั้ง
แต่อีเอ๋อของนางต้องใจเย็นให้มากกว่านี้ วันข้างหน้าจึงสามารถคิดหาวิธีเป็นนายหญิงของจวนอ๋องอี้ได้
“ท่านแม่ เราจักปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้หรือเจ้าคะ ! ” อันหลิงอีแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารับมิได้ เหตุใดอันหลิงเกอต้องได้ทุกสิ่งตามที่ปรารถนาอยู่ข้างนอก แต่นางต้องมาอยู่ในคุกตั้งสามเดือน !
“เด็กคนนี้! เรื่องทั้งหมดเกิดจากใคร เจ้ายังมิรู้ตัวอีกหรือ ! ” หลี่ซื่อแม้เจ็บปวดที่กล่าวออกมาเช่นนั้น แต่เพราะนางอยากให้บุตรสาวได้รู้จักคิดบ้าง
“ท่านแม่…”
“หุบปาก ! ”
นางกุมขมับเอาไว้ บุตรีช่างทำให้นางผิดหวังเสียจริง
นางฉลาดถึงเพียงนี้แล้วเหตุใดจึงมีลูกที่โง่เง่านัก !
…
“เกอเอ๋อ วันนี้เข้าวังต้องระมัดระวังให้มาก” แม้ปกติท่านโหวเหมือนมิค่อยยุ่งเรื่องการเมือง แต่ที่จริงในใจเขามีแผนการบางอย่างอยู่แล้ว
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
ตอนนี้สถานการณ์ทางการเมืองกำลังวุ่นวาย หทัยของฝ่าบาทก็มิเป็นสุข สำหรับมู่จวินฮานย่อมเป็นบุคคลแรกที่ฝ่าบาททรงหวาดระแวงในตอนนี้ แต่การแต่งงานระหว่างจวนอ๋องมู่และจวนโหวเคยกำหนดไว้นานแล้ว เกรงว่าฝ่าบาทก็คงมิอาจขัดได้เช่นกัน
ปัญหาจึงมาตกอยู่ที่จวนทั้งสอง หากเป็นการแต่งงานของขุนนางธรรมดาก็มิเป็นอันใด ทว่าตอนนี้อำนาจของจวนอ๋องมู่และจวนโหวราวกับดวงตะวันที่ร้อนแรง โดยเฉพาะหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้อันหลิงเกอเป็นคนดูแลเรื่องทุกอย่างภายในบ้าน จวนโหวก็ยิ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น
ฝั่งมู่จวินฮานมิเพียงชนะศึกกลับมา แต่ตระกูลของเขายังยิ่งใหญ่มานานแล้วด้วย หากได้อันหลิงเกอที่เป็นคนละเอียดรอบคอบไปเป็นภรรยา ทั้งยังมีครอบครัวที่คอยสนับสนุนเยี่ยงจวนโหวอีกก็เกรงว่า…
นี่เป็นปัญหาที่อันอิงเฉิงกังวลใจเช่นกัน
หากให้เกอเอ๋อแต่งงานกับมู่จวินฮานย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่หากสาเหตุนี้ทำให้ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงขึ้นมาก็เกรงว่าจักได้มิคุ้มเสีย
“ท่านพ่อวางใจเถิด เรื่องนี้เกอเอ๋อรู้ดีแก่ใจเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นอันอิงเฉิงขมวดคิ้วมุ่น อันหลิงเกอก็รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่
สถานการณ์ในตอนนี้นางพอควบคุมได้บ้างแล้ว สิ่งเดียวที่ควบคุมยากที่สุดก็คือความคิดของฮ่องเต้
ต้องดูในงานเลี้ยงวันนี้ว่าฮ่องเต้นั้นคิดเห็นเช่นไรกันแน่
“เชิญท่านโหวและคุณหนูใหญ่อันนั่งเจ้าค่ะ” แม้แขกที่มาร่วมงานวันนี้จักมีมิน้อย แต่ตระกูลอันซึ่งมีเพียงอันอิงเฉิงกับอันหลิงเกอถูกเชิญเข้าไปในท้องพระโรง
แขกบุรุษท่านอื่นได้ร่วมงานเพียงในบริเวณอุทยานและมีเฉพาะขุนนางสำคัญถึงได้เข้าไปในท้องพระโรง
ที่นั่งฝั่งตรงข้ามของพวกนางคือมู่จวินฮาน ทว่าตอนนี้เขายังมามิถึง
“มู่ซื่อจื่อมาถึงแล้ว ! ”
การมาถึงของมู่จวินฮานสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้มิน้อยเพราะตัวละครหลักในวันนี้ก็คือเขา
อันหลิงเกอสังเกตเห็นว่าแววพระเนตรของฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ด้านบนคล้ายกำลังค้นหาอันใดบางอย่าง
“ครั้งนี้มู่จวินฮานและแม่ทัพน้อยลู่ต่างได้รับชัยชนะ ข้าจึงตั้งใจจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นเพื่อเป็นการต้อนรับทั้งสอง” ฮ่องเต้ที่ภายนอกดูเหมือนมีความสุขอย่างมาก ทว่าภายในหทัยกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
ตระกูลลู่มิได้ประสบความสำเร็จเยี่ยงจวนอ๋องมู่โดยเฉพาะชื่อเสียงในหมู่ราษฎร ตอนนี้ภายในเมืองหลวงชื่อเสียงของจวนอ๋องมู่เป็นที่เลื่องลือจนแทบกลบพระองค์ที่เป็นฮ่องเต้อยู่แล้ว !
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคอยช่วยมู่ซื่อจื่อเท่านั้นจึงมิกล้ารับความดีความชอบพ่ะย่ะค่ะ” ลู่จ้านก้มหน้าทูลรายงานฝ่าบาท ใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเบาบาง
คำที่กล่าวออกมาของเขายิ่งทำให้ฮ่องเต้เกิดความสงสัยมากขึ้น เช่นนั้นความดีความชอบทั้งหมดก็จักตกเป็นของมู่จวินฮานผู้เดียว แล้วความดีผู้เป็นฮ่องเต้เยี่ยงพระองค์เล่า
มู่จวินฮานรู้ดีว่าฮ่องเต้กังวลสิ่งใดและรู้ว่าต่อให้กล่าวอันใดออกไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงเลือกมิเอ่ยสิ่งใดเพียงแค่เดินไปนั่งยังที่ของตนเท่านั้น
สายตาของเขามองไปยังอันหลิงเกอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตลอดเวลาราวกับมิได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลย
“ช่างเถิด ทั้งสองคนล้วนมีผลงานกลับมา มิทราบว่าพวกเจ้ามีความปรารถนาในรางวัลอันใดหรือไม่ ? ”
ฮ่องเต้เพิ่งตรัสจบ มู่จวินฮานก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีความปรารถนาหนึ่งที่อยากทูลขอพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่มู่จวินฮานเอ่ยออกมา คนในท้องพระโรงก็หันมามองหน้ากันเหมือนรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออันใด
“เจ้ากล่าวมาเถิด” ฮ่องเต้ก็ทรงทราบดี แม้ในหทัยมิยินดีเท่าไรนัก ทว่าทำได้แค่ตรัสออกมาพร้อมรอยแย้มพระโอษฐ์
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมต้องการสานต่อการหมั้นหมายในครั้งก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นดั่งที่คาดการณ์เอาไว้
ยามนั้นท้องพระโรงจึงเกิดความเงียบทันทีเพราะมิมีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมา
อันหลิงเกอมองมู่จวินฮานที่ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมรอยยิ้ม มิมีผู้ใดรู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่
ท่านโหวที่อยู่ด้านข้างก็อดยกมือขึ้นปาดเหงื่อมิได้ เรื่องนี้หากสำเร็จย่อมดี แต่หากมิสำเร็จก็เกรงว่าจวนโหวและจวนอ๋องมู่ต้องโดนฝ่าบาทหวาดระแวงหนักขึ้นไปอีก
แววตาของอันหลิงเกอสบกับแววตาของมู่จวินฮานทำให้เห็นถึงความรักที่เขาแสดงออกมาอย่างเปิดเผย อันหลิงเกอจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ
ช่างเถิด ต่อให้ลำบากกว่านี้ ขอเพียงมีความรักจากเขาก็พอแล้ว
เคยมีผู้ใดเสียสละเพื่อนางถึงเพียงนี้บ้างเล่า ?
“ฝ่า ฝ่าบาท…” เมื่อเห็นฝ่าบาททรงเงียบอยู่นาน ขันทีที่อยู่ด้านข้างจึงเรียกขึ้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นเรื่องดี เพียงแต่มิรู้ว่าท่านโหวอันและคุณหนูใหญ่อันคิดเห็นอย่างไร ! ”
สุดท้ายฮ่องเต้ก็โยนปัญหาให้อันอิงเฉิงและอันหลิงเกอทันที
อันอิงเฉิงมองบุตรีที่อยู่ด้านข้าง ตอนนี้มิว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่เขาล้วนเชื่อใจเกอเอ๋อ สิ่งสำคัญที่สุดมักอยากให้นางได้รับไปเช่นกัน
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิเห็นต่างจากมู่ซื่อจื่อและฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีฮ่องเต้คิดว่าอันอิงเฉิงเป็นคนระมัดระวัง คงเข้าใจความหมายของพระองค์ดี มิคิดเลยว่าเขาจักเห็นด้วยเช่นนี้
หากเป็นเช่นนี้พระองค์คงหมดวิธีจักตรัสอันใดได้อีก
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอรางวัลบ้างได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ” อยู่ ๆ ลู่จ้านก็ลุกจากที่นั่งแล้วเดินออกมา แววตาของเขามองตรงไปยังอันหลิงเกอ
นางจึงอดหลบเลี่ยงสายตาเขามิได้ เพราะสำหรับลู่จ้านแล้ว นางมิรู้ว่าควรปฏิบัติตัวต่อเขาอย่างไรดี
“มิทราบว่าแม่ทัพน้อยลู่ต้องการสิ่งใดหรือ ? ”
ฮ่องเต้ที่เห็นว่าลู่จ้านลุกขึ้นมาจึงเปิดทางให้และรออยู่นิ่ง ๆ
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิต้องการสิ่งใด เพียงอยากทูลขอคนเพียงคนเดียวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หืม ?
ฮ่องเต้รู้สึกตระหนกขึ้นมา เมื่อเห็นท่าทางที่ลู่จ้านและอันหลิงเกอ ‘มองกันไปมา’ ภายในหทัยก็เริ่มเกิดความกังวล
หากลู่จ้านต้องการแย่งชิงอันหลิงเกอกับมู่จวินฮานขึ้นมา พระองค์ควรทำอย่างไรดี ?
“มิทราบว่าผู้ที่แม่ทัพน้อยลู่จักขอเป็นผู้ใดและอยู่ในท้องพระโรงตอนนี้หรือไม่ ? ” แม้ฮ่องเต้ทรงลำบากพระทัยมากเพียงใดก็ทำได้แค่ตรัสถามออกไปเท่านั้น
บัดนี้ทุกคนในท้องพระโรงล้วนมองออกถึงความลำบากพระทัยของฝ่าบาท แต่มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยปากเพื่อแก้ไขสถานการณ์
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เคยคุยกันไว้นานแล้ว บัดนี้ทั้งสองบุรุษกลับมายื้อแย่งกันในท้องพระโรงจึงเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมละอายแก่ใจยิ่งนักเพราะคนที่กระหม่อมต้องการขอคือบุตรสาวภรรยาเอกแห่งจวนโหวอันพ่ะย่ะค่ะ” ลู่จ้านทูลตอบอย่างตรงไปตรงมาและกล้าหาญ
อันหลิงเกอได้ยินดังนั้นก็เกิดความตระหนกขึ้นมา จากนั้นก็หันไปสบตากับลู่จ้าน
ภายในท้องพระโรงจึงเกิดความโกลาหลทันที ลู่จ้านต้องการสู้กับมู่จวินฮานอย่างนั้นหรือ !
เมื่อครู่มู่จวินฮานเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมาย แต่บัดนี้ลู่จ้านเอ่ยถึงอันหลิงเกอออกมาโดยตรง แล้วจักมิให้พวกเขากระวนกระวายได้อย่างไร ?