พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 400 พิษหนอนกู่กำเริบ
ตอนที่ 400 พิษหนอนกู่กำเริบ
คนของแคว้นชิงเยว่ทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้นมู่จวินฮาน ภายในวังก็มีคนมิน้อยที่อยากกำจัดมู่จวินฮานทิ้ง แต่ตอนนี้นางคิดมิออกว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
มิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เสียงต่อสู้ด้านนอกก็ค่อย ๆ เงียบลง แต่ผ่านไปนานแล้วก็ยังมิเห็นมู่จวินฮานกลับเข้ามา นางรู้สึกเป็นกังวลจึงเปิดม่านออกดูก็เห็นมู่จวินฮานกำลังยืนอยู่กับชิงเฟิงรวมทั้งองครักษ์อีกหลายนายเหมือนกำลังรายงานสถานการณ์ให้มู่จวินฮานรับทราบ
เมื่อนางประเมินอยู่ครู่หนึ่งก็มิเห็นนักฆ่าแล้วจึงลงจากรถม้าพร้อมเดินเข้าไปถามมู่จวินฮาน “ท่านมิเป็นไรใช่หรือไม่ ? มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือไม่เจ้าคะ ? ”
มู่จวินฮานส่ายหน้า “ข้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องมีการลอบโจมตีเกิดขึ้น แต่มิคิดว่าจักเกิดขึ้นใกล้กับเมืองหลวงเช่นนี้”
นางมิได้รู้สึกอันใดกับเรื่องพวกนี้ แค่ได้ยินว่ามิมีผู้ใดบาดเจ็บก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “โชคดีที่ท่านเตรียมพร้อมไว้แล้ว เช่นนั้นก็มิรู้ว่าจักมีองครักษ์บาดเจ็บมากเพียงใด”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้เขาจึงหันไปมองหน้าอันหลิงเกอ อยู่ ๆ ก็นึกถึงองค์ชายเจ็ดที่อยู่ในท้องพระโรงวันนั้นขึ้นมา พระองค์ตรัสถึงความดีความชอบของอันหลิงเกอทั้งพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาพาอันหลิงเกอไปเมืองเยว่เฉิงพร้อมกันให้ได้
“นักฆ่าพวกนี้…องค์ชายเจ็ดเป็นผู้บงการ”
อันหลิงเกอได้ฟังเช่นนั้นก็เบิกตาโพลง องค์ชายเจ็ดน่ะหรือ ? หลี่กุ้ยเฟยใช่หรือไม่ ?
“ท่าน…ท่านว่าอันใดเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอรู้สึกสับสนมิน้อย องค์ชายเจ็ดแม้กระหายในผลงานแต่เรื่องนี้ดูบุ่มบ่ามเกินไป มิเหมือนการกระทำของคนที่เป็นองค์ชายแม้แต่น้อย
“ตรงนี้เป็นที่ดินศักดินาขององค์ชายเจ็ดและการที่ข้าเดินทางไกลในครั้งนี้ก็มีพระองค์เป็นส่วนผลักดัน อีกอย่างนักฆ่าก็มาปรากฏตัวในป่านี้พอดี หรือทั้งหมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญกันเล่า ? ” มู่จวินฮานเชื่อใจอันหลิงเกอจึงบอกเรื่องทั้งหมดให้นางรู้
“หากท่านคิดเช่นนั้น ข้าก็รู้สึกว่ายังมีข้อสงสัยอีกหลายจุดเพราะเขามิน่า…”
“พระชายากำลังช่วยพูดแทนผู้อื่นหรือ ? ” มู่จวินฮานขมวดคิ้วมุ่น แสดงชัดถึงความหึงหวง
นางเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา “ที่ผ่านมาท่านมิเคยเชื่อในความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่านเลย เช่นนั้นท่านยอมให้ข้าออกมาด้วยเหตุใด ? ”
เมื่อได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้ เขาก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขามิคิดว่านางจักโกรธถึงเพียงนี้ เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของนางแต่มิรู้ว่าควรกล่าวเยี่ยงไรดี
จากนั้นก็ได้ยินนางพูดต่อ “หากระหว่างข้าและองค์ชายเจ็ดมีอันใดกันจริง ข้าคงมิมาที่นี่กับท่านอ๋องหรอกเจ้าค่ะ ! ”
อันหลิงเกอรู้สึกโมโหมาก นึกมิถึงว่ามู่จวินฮานจักสงสัยนางเช่นนี้
“เกอเอ๋อ” มู่จวินฮานรู้ตัวดีว่าเมื่อครู่กล่าวผิดไป เขามิควรแสดงความสงสัยใดในตัวนาง
“มู่…” ยังมิทันกล่าวออกมา หัวใจของนางก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นนางขดตัวอย่างทรมาน มู่จวินฮานก็รีบอุ้มนางขึ้นไปบนรถม้าทันที
“รีบไปหมู่บ้านใกล้ที่สุดเร็วเข้า ! ” หากลองนับดูแล้วบวกกับระยะเวลาที่พวกเขาต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง พิษหนอนกู่ในกายของนางคงได้เวลากำเริบ
ใบหน้าของอันหลิงเกอซีดเซียวยิ่งนัก กอปรกับการเดินทางไกลมาหลายวันทำให้ร่างกายของนางอ่อนแออย่างมาก ยามนี้มู่จวินฮานจึงอดตำหนิตนเองมิได้ เมื่อครู่เขากล่าวเช่นนั้นกับนางได้อย่างไร
ตอนนี้ข้างกายเขามิมีคนที่รู้เรื่องหนอนกู่ มู่จวินฮานจึงทำได้เพียงพาอันหลิงเกอเข้ามาพักใน*ศาลาพักม้า
“อึก…”
กลางดึก อันหลิงเกอที่เพิ่งรู้สึกตัวก็โดนความเจ็บปวดปะทุขึ้นอีกระลอกจนนางมิสามารถหลับลงได้
มู่จวินฮานที่อยู่ข้างกายเห็นท่าทางทรมานจนต้องขดตัวของนางก็ทำได้แค่กอดนางไว้แนบอกเท่านั้น
แต่เมื่ออันหลิงเกอเจ็บปวดรุนแรงจึงกัดเข้าที่บ่าของเขาโดยมิรู้ตัว
มู่จวินฮานขมวดคิ้วมุ่น เขามิได้ขัดขืนอันใดและกอดนางให้แน่นขึ้นเท่านั้น
โลหิตสีสดไหลลงมาตามบ่า ทว่าเขามิได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด นอกจากกอดปลอบนางแล้วเขาก็มิได้ทำสิ่งใดอีก
เช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในศาลาพักม้า ยามที่อันหลิงเกอลืมตาขึ้นมาจึงได้พบว่าเส้นผมของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
มู่จวินฮานที่กอดนางอยู่ข้างกาย เสื้อของเขาก็เปียกชุ่มเช่นกัน มิรู้ว่าเปียกเพราะเหงื่อของนางหรือของเขากันแน่ เห็นแล้วก็ช่างน่าอายเสียจริง
“จวินฮาน” นางเพิ่งสังเกตเห็นรอยเลือดบนไหล่ของเขาจึงอดร้องออกมาด้วยความตกใจมิได้
“มิเป็นไร” เขาหัวเราะออกมาพร้อมค่อย ๆ ประคองนางขึ้นนั่ง
“ดื่มยาสักหน่อยเถิด เพิ่งต้มเสร็จแล้วจักได้ช่วยบำรุงกำลัง” มู่จวินฮานมิได้สนใจบาดแผลของตนเพราะเขาสนใจแค่อาการของอันหลิงเกอเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้ว อันหลิงเกอก็เหมือนลืมความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อวานจนสิ้น จากนั้นก็กอดเขาแน่นขึ้น
เมื่อได้สติอีกครั้ง นางจึงดื่มยาขมที่อยู่ในถ้วยจนหมด
“ยังขมอยู่หรือไม่ ? ” เมื่อเห็นนางดื่มยาหมดแล้ว มู่จวินฮานก็เอ่ยถาม
อันหลิงเกอยังมิทันได้ตอบ ใบหน้าของเขาก็เข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงริมฝีปากเย็นเฉียบที่แฝงไว้ด้วยความอิดโรยของคนนอนมิหลับทั้งคืน จากนั้นทั้งสองจึงกอดเกี่ยวกันอย่างแนบแน่น
กว่าทั้งหมดจักกลับถึงจวนอ๋องก็ค่ำของวันที่สองแล้ว พอมาถึงมู่จวินฮานก็ไปที่เรือนของฟางซู่ซู่ทันที
“บอกมา มีวิธีใดแก้พิษหนอนกู่ได้อีก ! ”
ฟางซู่ซู่เห็นมู่จวินฮานโมโหเช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าพิษหนอนกู่กำเริบเป็นครั้งแรกจึงอดหัวเราะออกมามิได้ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจ
นางใช้พิษหนอนกู่ครั้งแรกก็ได้ผลมากถึงเพียงนี้แล้ว
“เจ้ามันเสียสติ ! ” มู่จวินฮานขบกรามแน่นแล้วบีบคอของนางเอาไว้
“หากเจ้ามิกล่าว เปิ่นหวางจักเอาเจ้าไปทิ้งไว้ที่เมืองเยว่เฉิง เจ้าคงรู้ว่าคนที่นั่นจักดูแลเจ้าเช่นไร ! ”
เมื่อได้ยินชื่อเมืองเยว่เฉิง ร่างกายของฟางซู่ซู่ก็สั่นเทาทันที
ระหว่างที่ตรวจสอบเมืองเยว่เฉิง มู่จวินฮานก็ได้รู้หลายสิ่งหลายอย่างมามิน้อย
ตอนนั้นท่านหมอฟางหนีจากเมืองเยว่เฉิงและสองปู่หลานก็รู้ถึงความน่ากลัวดีกว่าผู้ใด
กลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นพร้อมจับคนทรยศเยี่ยงพวกนางกลับแคว้นตลอดเวลา !
“หากท่านทำเช่นนี้กับข้าก็คงหมดหนทางรักษานางได้ ! ” เป็นฟางซู่ซู่ที่ข่มขู่ขึ้นมา
“อย่างไรเปิ่นหวางก็มิเห็นเจ้าคิดช่วยพระชายาอยู่แล้ว เก็บเจ้าไว้แล้วมีประโยชน์อันใด ? ” มู่จวินฮานโต้กลับ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟางซู่ซู่ก็รู้สึกตระหนกขึ้นมาคล้ายกำลังเห็นความตายอยู่ตรงหน้า
“หากข้าบอกท่านอ๋องแล้วจักรับประกันได้เยี่ยงไรว่าข้ามิตาย ? ”
คงมีวิธีรักษาจริง ๆ แววตาของมู่จวินฮานจึงมีประกายขึ้นมา
“ข้ามิมีวันผิดคำพูด ! ” มู่จวินฮานมิคิดผิดคำพูดเพราะคนเยี่ยงนางอยู่แล้ว แต่จักให้นางมีชีวิตอยู่เช่นไร เขาจักเป็นผู้ตัดสินเอง
“ได้เจ้าค่ะ” ฟางซู่ซู่ตัดสินใจได้แล้วจึงหยิบตำราโบราณเล่มหนึ่งออกมา
ตัวอักษรบนหน้าปกนั้นมู่จวินฮานอ่านมิออกเพราะมีความแตกต่างจากตัวอักษรของต้าโจวมาก
“หนอนกู่ต้องเลี้ยงด้วยเลือดมนุษย์สด ๆ แต่มันดื่มเลือดข้าจนชินแล้ว ดังนั้นหากท่านอ๋องสังหารข้าก็เกรงว่าจักทำอันใดมิได้อีก”
ฟางซู่ซู่กล่าวเสร็จก็เหมือนนึกบางอย่างได้ “หรือท่านอ๋องจักยอมมีอันใดกับข้า ต่อไปท่านก็สามารถเลี้ยงหนอนตัวนี้เองได้เจ้าค่ะ”
หืม ?
มู่จวินฮานหัวเราะออกมา เขามิเชื่อว่าจักมีวิธีแก้เพียงสองทางนี้เท่านั้น
เขาจึงหยิบหนังสือของฟางซู่ซู่ติดมือมาด้วย ส่วนฟางซู่ซู่ก็มิได้กังวลเพราะนอกจากพวกตนที่เป็นเผ่าหมอเทวดาของแคว้นชิงเยว่แล้วก็มิมีผู้ใดอ่านมันออก
หลังมู่จวินฮานจากไปแล้ว ฟางซู่ซู่ก็ขาอ่อนจนล้มลงกองกับพื้นเพราะอารมณ์โกรธของท่านอ๋องน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อครู่นางจึงรู้สึกตกใจกลัวเป็นอย่างมาก
อีกแค่นิดเดียวนางก็เกือบเอาชีวิตมิรอดเสียแล้ว
…
*ศาลาพักม้า ใช้สำหรับการส่งสารระยะไกล มีตั้งอยู่ทุก 30 ลี้