พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 406 งานชมบุปผา
ตอนที่ 406 งานชมบุปผา
งานใหญ่เยี่ยงนี้สาวใช้อย่างนางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก หากมิระวังแล้วเกิดไปล่วงเกินผู้ใดเข้าก็เกรงว่าชีวิตของนางจักหาไม่ ดังนั้นวันนี้นางจึงระวังตัวเป็นพิเศษ
หลิงอวี่หนิงกวาดตามองไปทางผู้คนที่มาร่วมงาน วันนี้ตัวเอกของงานคืออันผิงกงจู่ ทุกคนย่อมไปรุมล้อมอันผิงกงจู่เป็นแน่ และนอกจากกงจู่แล้ว คนที่มีฐานะสูงที่สุดก็คงเป็นอันหลิงเกอ
ทว่ามิเห็นแม้แต่เงา ส่วนน้องสาวเยี่ยงอันหลิงอีก็นั่งก้มหน้าอยู่มิไกลนัก
หลิงอวี่หนิงเห็นแล้วก็หัวเราะเยาะออกมา แต่มิได้เข้าไปยุ่งด้วยเพราะวันนี้นางมีเป้าหมายอยู่แล้ว
เมื่อในสวนมิมีแม้แต่เงาของอันหลิงเกอย่อมแสดงว่าวันนี้มิได้มาร่วมงาน
ระหว่างที่กำลังมองอย่างประเมินอยู่นั้นก็เห็นอันผิงกงจู่กำลังสนทนาอย่างสนุกสนานกับสตรีผู้หนึ่ง
“ได้ยินว่าพระชายามู่มิค่อยสบายจึงมิได้มาร่วมงานด้วย ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก” อันผิงกงจู่จิบชาพลางมองไปยังฟางซู่ซู่เผื่อจักได้เห็นอันใดบางอย่าง
แต่ฟางซู่ซู่กล่าวออกมาโดยที่สีหน้ามิเปลี่ยนแม้แต่น้อย “ใช่แล้วเพคะ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
หลิงอวี่หนิงที่ยืนอยู่มิไกล พอได้ยินดังนั้นก็มั่นใจทันทีว่าสตรีที่กำลังสนทนาอยู่กับอันผิงกงจู่ก็คือสนมของมู่จวินฮานนั่นเอง
อันผิงกงจู่มีฐานะสูงส่ง เวลาตรัสกับผู้อื่นจึงมิค่อยถูกคอเท่าไรนัก แต่ฟางซู่ซู่กลับดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
หลิงอวี่หนิงจึงเดินเข้าไปหา เมื่อได้ยินพวกนางคุยกันก็อยากแสดงความคิดเห็นด้วย แต่ฟางซู่ซู่กลับนั่งฟังเงียบ ๆ บ้างก็ยกชาขึ้นมาจิบ
อันผิงกงจู่นั้นฟางซู่ซู่รู้จักดี ส่วนหลิงอวี่หนิงก็คงเป็นสตรีที่ส่งเทียบเชิญมาให้นางครั้งที่แล้ว
“หม่อมฉันได้ยินว่าอันผิงกงจู่เชิญพระชายามู่มาด้วย เหตุใดยังมิเห็นอีกเพคะ นางคงมิได้คิดวางอำนาจของพระชายาใช่หรือไม่เพคะ” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
อันผิงกงจู่หัวเราะออกมาเบา ๆ “พวกเจ้านี่นะ พระชายามิค่อยสบายจึงมามิได้ พวกเจ้าเอาแต่ใส่ร้ายคนอื่น ระวังท่านอ๋องมู่มาจัดการเล่า”
หลิงอวี่หนิงยามนี้ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ฟางซู่ซู่แล้วถามขึ้น “กู่เหนียง มิทราบว่าพระชายาอาการเป็นเช่นไรบ้าง ? ”
ฟางซู่ซู่ตกตะลึงเล็กน้อย มิคิดว่าอีกฝ่ายจักมาถามเรื่องของอันหลิงเกอต่อหน้าตนเช่นนี้ นางมิได้ตอบคำถามแต่ย้อนถามออกมาด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นผู้ใด ? ”
“ข้า…อวี่หนิง ก่อนหน้านี้ข้าชื่นชมในฝีมือการแพทย์ของท่านจึงส่งเทียบเชิญไปให้ แต่น่าเสียดายที่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจึงมิสามารถไปพบท่านได้” นางมิรู้ว่าจักอธิบายฐานะของตนว่าเยี่ยงไร ทว่าสตรีมักชอบคำชมอยู่แล้วจึงลองเอ่ยชมอีกฝ่ายก่อนก็แล้วกัน
ฟางซู่ซู่เลิกคิ้วแล้วมองสตรีตรงหน้า สตรีคนนี้น่าคบหากว่าอันหลิงเกอมากนัก “เรื่องของพระชายานั้น ข้ามิทราบหรอก”
“ก่อนหน้านี้ข้าบังเอิญพบกับพระชายาครั้งหนึ่ง แต่น่าเสียดาย…” หลิงอวี่หนิงทำท่าทางเสียดายออกมายามกล่าวกับฟางซู่ซู่
ฟางซู่ซู่ฟังออกถึงความมิพอใจของอีกฝ่าย ความคิดของสตรีมองง่ายยิ่งกว่าสิ่งใด ฟางซู่ซู่เองก็มิใช่คนโง่
ดูท่าแล้วหลิงอวี่หนิงคนนี้คงอยากยืนข้างเดียวกับนางกระมัง ?
ฟางซู่ซู่รู้ดีว่าตอนนี้พิษหนอนกู่มิสามารถข่มขู่มู่จวินฮานได้แล้ว เขานำตำราโบราณเล่มนั้นไปเพราะมิเชื่อในคำกล่าวของนาง หากตอนนี้นางได้คนมาช่วยก็คงดีมิน้อยเลย
เมื่อคิดได้ดังนั้นสายตาที่มองหลิงอวี่หนิงจึงเป็นมิตรขึ้นมาก “ผู้ใดให้นางเป็นพระชายาฐานะสูงส่งและเป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องเล่า”
นางแสร้งทำเป็นถอนหายใจก่อนเหลือบมองหลิงอวี่หนิงราวกับอยากรู้ว่ามีความคิดเช่นไรต่ออันหลิงเกอ
ในเมื่อต้องการให้ฟางซู่ซู่มาเป็นพรรคพวก อีกทั้งยังลงแรงขนาดนี้แล้ว หลิงอวี่หนิงจักยอมผิดหวังได้เยี่ยงไร นางจึงก้มหน้าอย่างเศร้าหมอง “กล่าวเช่นนั้นก็มิถูก ต่อให้เป็นพระชายา แต่ก็เป็นแค่คุณหนูใหญ่จวนโหว ฐานะก็แค่นั้นเอง มิเหมือนกู่เหนียงที่มีความรู้กว้างไกลและอ่อนโยนมากด้วยคุณธรรมเช่นนี้”
ฟางซู่ซู่รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที หลิงอวี่หนิงผู้นี้รู้จักเอ่ยมิน้อย ทุกคำของนางล้วนถูกใจฟางซู่ซู่เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฟางซู่ซู่จึงดึงมือของนางมาแล้วเอ่ยเสียงเบา “คำพูดเช่นนี้ ท่านเอ่ยให้ข้าฟังมิเป็นไร แต่หากผู้อื่นได้ยินเข้าอาจเข้าใจผิดได้”
หลิงอวี่หนิงรีบก้มหน้าลง สีหน้าดูซาบซึ้งและเกรงกลัวอยู่ในที “ขอบคุณกู่เหนียงที่ตักเตือน ท่านมีเมตตาเช่นนี้คงเป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องมู่มิน้อยเลย”
ฟางซู่ซู่ได้ยินก็หน้าตึงขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้แทงใจดำนางเข้าอย่างจัง
“ท่านเป็นบุตรีบ้านไหน เหตุใดจึงปากหวานเช่นนี้” ฐานะของฟางซู่ซู่ต่ำต้อยกว่าทุกคนในที่นี้ แต่ที่อันผิงกงจู่เอาใจนางก็เพราะรู้ว่าฟางซู่ซู่แต่งงานกับมู่จวินฮานนั่นเอง
เรื่องระหว่างฮ่องเต้และท่านหมอฟางนั้น อันผิงกงจู่ก็ย่อมทราบเช่นเดียวกัน
แต่หลิงอวี่หนิงผู้นี้เห็นชัดว่าฟางซู่ซู่มีฐานะต่ำต้อยกว่าตนก็ยังแสร้งทำท่าทางถ่อมตน นางก้มหน้าลงมิกล้าเอ่ยถึงฐานะขึ้นมา ทำแค่ดึงมือของฟางซู่ซู่เอาไว้ “ข้าพูดความจริงนะ แม่นางเป็นคนดีมีเมตตาเช่นนี้ท่านอ๋องมู่ต้องชอบท่านอยู่แล้ว”
อันผิงกงจู่เห็นสตรีนางหนึ่งอยู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาสนทนากับฟางซู่ซู่อย่างสนิทสนมจึงเดินเข้ามาด้านข้างแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “มิคิดว่าเจ้าสองคนจักถูกชะตากันเยี่ยงนี้ แค่มินานก็คุยกันถูกคอเสียแล้ว”
หลิงอวี่หนิงรู้ดีว่าอันผิงกงจู่ผู้นี้มิใช่คนที่สามารถต่อกรได้โดยง่ายจึงทำแค่ก้มหน้าลงและมิเอ่ยสิ่งใดออกมา
ฟางซู่ซู่ย่อมออกตัวปกป้องหลิงอวี่หนิงอยู่แล้ว “หม่อมฉันคุยถูกคอกับคุณหนูท่านนี้เป็นอย่างมากเพคะ”
แม้บิดาของหลิงอวี่หนิงคือแม่ทัพใหญ่หลิง แต่ตอนที่เป็นไท่เว่ยก็เคยทำความผิดจนโดนปลดออกจากราชสำนักและถูกส่งเข้ากองทัพ
ตอนนี้อาศัยที่เคยร่วมออกรบกับมู่จวินฮานและลู่จ้านจึงได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพใหญ่ ดังนั้นจึงมีผู้คนอีกมากมายที่ยังมิรู้จักหลิงอวี่หนิง
อันผิงกงจู่หัวเราะออกมาแต่มิได้กล่าวสิ่งใด
“งานชมบุปผาใกล้จบแล้ว ทว่าข้ายังมีอีกหลายอย่างที่อยากคุยด้วย” สายตาของฟางซู่ซู่แฝงความนัยบางอย่างเอาไว้ จากนั้นถอดกำไลออกมาแล้ววางไว้บนมือของหลิงอวี่หนิง
หลิงอวี่หนิงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ภายในใจ ดูท่าแล้วฟางซู่ซู่ผู้นี้คงเริ่มวางใจนางแล้ว หรืออาจอยู่ฝ่ายเดียวกับนางก็เป็นได้ นางลอบดีใจอยู่ลึก ๆ แต่ยังแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์ออกมา “วันหน้าหากมีโอกาสอวี่หนิงจักไปเยี่ยมท่านที่จวนอ๋องมู่ให้ได้”
“เลือกวันมิสู้เลือกวันที่เหมาะสม พรุ่งนี้ที่จวนมิมีผู้ใดอยู่ อวี่หนิงมาพรุ่งนี้สิ ข้าจักได้พาเจ้าเดินชมรอบจวนด้วย” ฟางซู่ซู่ฉลาดมิน้อย ดังนั้นความคิดของหลิงอวี่หนิง นางเองก็เริ่มเข้าใจแล้วเช่นกัน
“เช่นนั้นอวี่หนิงจักจำไว้ ครั้งนี้ต้องไปให้ได้และจักมิทำให้พี่สาวต้องคอยอีกแน่นอน”
ทั้งคู่สบตากันพร้อมรอยยยิ้ม หมายความว่าเป้าหมายของพวกนางก็ชัดเจนเช่นกัน