พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 427 กลายเป็นคนอ่อนแอหรือ?
ตอนที่ 427 กลายเป็นคนอ่อนแอหรือ?
หลิงอวี่หนิงมิใช่คนโง่ ย่อมต้องหาวิธีดึงคนในจวนมาเป็นพรรคพวกของตนอยู่แล้ว
อย่างไรอวี๋หมิงหลันก็เคยมีความหลังกับมู่จวินฮานจึงแตกต่างจากสตรีคนอื่นในจวน
หลังจากที่มู่จวินฮานและอันหลิงเกอออกนอกจวนก็รีบเดินทางไปนอกเมืองทันที ระหว่างทางอย่างมากก็หยุดพักผ่อนหรือทานข้าวเท่านั้นซึ่งเวลาส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่อยู่บนรถม้า
“อีกนานแค่ไหนพวกเราจักไปถึงเขตที่เกิดความอดอยากหรือเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอเงยหน้ามองบุรุษที่นางอิงแอบอย่างเหนื่อยล้า นางรู้สึกมิค่อยสบายตัวเท่าไรและมิรู้ว่าร่างกายของนางเป็นอันใดกันแน่
เมื่อเขาเห็นใบหน้าซีดเผือดและริมฝีปากไร้สีเลือด ทั้งคิ้วที่ขมวดแน่นของนางแล้วภายในใจก็อดสงสารมิได้ เขาจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “เจ้าอดทนอีกหน่อย ประมาณสองวันก็ถึงแล้ว”
ครั้งก่อนเดินทางไปเมืองเยว่เฉิง มู่จวินฮานก็สังเกตเห็นแล้วว่าอันหลิงเกอมิค่อยถูกกับการนั่งรถม้าไกล ๆ เท่าไรนัก
นางทำได้เพียงนอนนิ่งแล้วพิงอกของเขาอยู่เยี่ยงนั้นจึงบรรเทาอาการมิสบายตัวได้บ้าง
“อีกมินานเราก็ถึงเมืองเล็ก ๆ แล้ว เราพักอยู่ที่เมืองนั้นสักครึ่งวันดีหรือไม่ ? ” เขาทนเห็นคนในอ้อมกอดนอนหมดแรงเช่นนี้มิได้จริง ๆ เขาจึงตัดสินใจพักสักครู่
อย่างไรเขาก็ขอพานางมาด้วยเอง แต่มิทันคิดว่าร่างกายของนางอาจทนมิไหวก็ได้เพราะนางอยู่แต่ในจวน น้อยครั้งจักได้นั่งรถม้านาน ๆ เช่นนี้จึงทำให้นางทรมานมิน้อยเลย
นางรู้ว่ามู่จวินฮานเป็นห่วงก็อดซาบซึ้งใจมิได้ สุดท้ายนางจึงพยักหน้าเป็นการตกลง
มินานรถม้าก็หยุด มู่จวินฮานจึงอุ้มนางลงจากรถม้า พอเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของนางแล้วเขาก็อดรู้สึกผิดมิได้ “หากมิใช่เพราะข้าพาเจ้าออกมาด้วย เจ้าก็คงมิต้องลำบากเช่นนี้”
นางหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วขืนกายออกจากอ้อมกอดของเขาพร้อมรอยยิ้ม “คนโง่ ผู้ที่ลำบากมิใช่พวกเราแต่เป็นชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนต่างหาก ข้าก็อยากทำอันใดเพื่อพวกเขาบ้าง อีกอย่างถ้าจักโทษก็ต้องโทษที่ตอนนี้ข้าโดนเลี้ยงดูดีเกินไปจนกลายเป็นคนอ่อนแอไปเสียแล้ว เมื่อก่อนข้ามิได้เป็นเช่นนี้!”
เขารู้ว่านางต้องการปลอบใจ ดังนั้นเขาจึงมิกล่าวสิ่งใดอีก เพียงแค่พานางเข้าไปเดินในเมืองและแวะทานอาหารที่โรงเตี๊ยม จากนั้นก็กลับขึ้นรถม้า
ตอนนี้สีหน้าของอันหลิงเกอดีขึ้นมากแล้ว แต่พอรถม้าเริ่มเคลื่อนตัว นางก็รู้สึกมิค่อยสบายตัวขึ้นมาอีก เมื่อเห็นท่าทางของนางแล้ว มู่จวินฮานก็อยากเปลี่ยนความคิดของนางที่อยากไปด้วยเสียจริง ๆ
“มิไกลจากที่นี่มีหมู่บ้านอยู่ เมื่อถึงแล้วข้าจักพาเจ้าไปเดินสูดอากาศสักหน่อย” เขาเอ่ยพลางกอดนางไว้อย่างทะนุถนอมเพราะเกรงว่านางจักกระแทกกับรถม้า แม้ทางที่พวกเขามาเป็นทางหลวงแต่ก็ยังเลี่ยงก้อนหินที่มีอยู่ประปรายมิได้
นางถามพร้อมรอยยิ้ม “หากยังเดินทางช้าเช่นนี้ พวกเราจักไปถึงเมื่อไรเจ้าคะ ? ”
“เจ้าดูมิสบายเช่นนี้ ข้าจักเร่งเดินทางได้อย่างไร ? ” น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยการหยอกล้อ
นางส่งเสียง หึ ออกมาพร้อมเอ่ยอย่างแง่งอน “ข้าเป็นเช่นนี้แล้วอย่างไร ? มีคำกล่าวไว้ว่า*เจ็บสั้นดีกว่าปวดนาน มิรู้ว่าท่านอ๋องเคยได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ? ”
ภายในใจของอันหลิงเกอยังกังวลเรื่องเผ่าพิษหนอนกู่ที่อยู่ในเขตนั้นจึงทำให้นางอดร้อนใจมิได้
หากคำนวณแล้วก็เหลืออีกมิกี่วันเท่านั้น
มินานพิษคงกำเริบอีกรอบ นางต้องรีบหาวิธีรักษาโดยเร็วที่สุด
ที่นางมิยอมบอกมู่จวินฮานก็เพราะเกรงว่าเขาจักคอยเป็นห่วงเรื่องของนางจนละเลยหน้าที่
“เจ้าเป็นคนพูดเองนะ” เขาก้มหน้ามองนาง จากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นแล้วเขาก็ประกบริมฝีปากของนางทันที
“เจ็บสั้นดีกว่าปวดนาน ข้าก็เป็นห่วงเจ้าจนปวดใจไปหมดแล้ว” กล่าวจบเขาก็ประกบริมฝีปากของนางอีกครั้ง
อันหลิงเกอรู้สึกมิสบายตัวอย่างมาก ถ้อยคำของเขาฟังแล้วครุมเครือไปหมด มู่จวินฮานจึงทำได้เพียงจัดท่าให้นางได้นอนอย่างสบายที่สุดในอ้อมกอดของเขาเท่านั้น
เมื่อเขาเห็นใบหน้าด้านข้างยามนางนอนหลับ เขาก็อดนึกถึงการกระทำที่แปลกไปของแม่ทัพหลิงมิได้ ตอนนี้เมื่อพานางมาด้วยการเดินทางก็ย่อมล่าช้าลงไป
เขาตกอยู่ในภวังค์จนมิรู้เลยว่าคนในอ้อมกอดตื่นตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเห็นท่าทางขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดอันใดบางอย่างของมู่จวินฮาน นางจึงเอ่ยถามเบา ๆ “เป็นอันใดหรือ ? ท่านคิดอันใดอยู่เจ้าคะ ? ”
เขาส่ายหน้า
“มิมีอันใดหรอก แค่นึกเรื่องที่ยังมิสามารถแก้ไขได้เท่านั้นจึงรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย”
เมื่อเห็นท่าทางของเขาแล้ว อันหลิงเกอก็รู้ดีว่าเขามิอยากเอ่ยถึง นางจึงมิถามเซ้าซี้อีกเพราะถึงเวลาที่เขาอยากพูดเมื่อไรก็ย่อมบอกนางเอง
ทั้งสองคนเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่มู่จวินฮานจักชี้ไปยังทิวทัศน์ด้านนอก “ทิวทัศน์แถวนี้งดงามกว่าที่จวนยิ่งนัก มิเสียทีที่ข้าอยากพาเจ้ามาชมความงามให้สบายใจ”
อันหลิงเกอเหลือบมองเขาก่อนตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ข้าก็มีความสุขแล้วเจ้าค่ะ”
แม้สีหน้าของนางขาวซีดแต่รอยยิ้มที่เผยออกมาก็ยังงดงามดังเดิม
ทว่าสิ่งที่เขาปิดบังอยู่ภายในใจมิยอมบอกนางต่างหากเป็นสิ่งที่อันหลิงเกอห่วงที่สุดในตอนนี้
เมื่อเดินทางถึงเมืองแรก หลังเข้าพักที่จวนรับรองแล้วมู่จวินฮานก็รู้สึกกังวลใจมาก
ในครั้งนั้นแม่ทัพหลิงมิได้พยายามฝืนตามมาด้วยและครั้งนี้ลู่จ้านก็ยอมถอยเช่นกัน
การกระทำของลู่จ้านนั้นเขามองออกว่าทำเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงความหวาดระแวง ทว่าแม่ทัพหลิงนั้นเล่า ?
ดูจากสถานการณ์แล้วตอนนี้ยังมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่อนาคตข้างหน้าเขาก็มิรู้ว่าจักมีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะตอนนี้เขาทำได้เพียงระแวดระวังภายในจวนรับรองเข้าไว้
“ท่านเป็นอันใดเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอเห็นท่าทางระมัดระวังตัวของเขาแล้วก็อดสงสัยมิได้
เขาส่ายหน้าแต่มิได้กล่าวสิ่งใด มีเพียงสายตาที่เผยให้เห็นถึงความกังวลเท่านั้น
ท่าทางระแวดระวังของเขาทำให้อันหลิงเกอต้องคอยระมัดระวังตัวตามไปด้วย มู่จวินฮานมิใช่คนขลาดกลัว แต่เมื่อพานางมาด้วย เขาจึงเกิดความกลัวขึ้นมา
“เมืองนี้มิใหญ่เท่าไร ปกติอาหารที่ผลิตเองในเมืองก็มีเพียงพอแล้วเหตุใดปีนี้จึงเกิดปัญหาความอดอยากได้ ? ” มู่จวินฮานนั่งอยู่กับเจ้าเมืองและขมวดคิ้วมุ่น
“เรียนท่านอ๋อง เพราะภัยธรรมชาติจึงทำให้ผลผลิตในปีนี้เก็บเกี่ยวได้มิเต็มเม็ดเต็มหน่วยขอรับ” เจ้าเมืองผู้นี้โกหกหน้าด้าน ๆ เพราะเมืองแถบนี้ตลอดทั้งปียังมิเคยเกิดภัยพิบัติ ดังนั้นสาเหตุที่ทำให้เกิดความอดอยากครั้งนี้ต้องเป็นฝีมือของมนุษย์แน่นอน
นี่แค่เมืองแรกและด้านหลังยังเหลืออีกสามเมือง หรือทุกเมืองก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าประสบภัยพิบัติ ?
ท่านเจ้าเมืองมิคิดว่าจักถูกปล่อยตัวมาโดยง่ายเช่นนี้ ภายในใจเขาจึงหัวเราะเยาะท่านอ๋องผู้ไร้ความสามารถที่ทางราชสำนักส่งมามิหยุด
แต่เขาคาดมิถึงว่าบัญชีลับของตนกำลังถูกคนตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่และคนที่ออกคำสั่งก็คือท่านอ๋องผู้ไร้ความสามารถคนนั้นเอง
พวกเขาอยู่ไกลจากเมืองหลวงค่อนข้างมากและข่าวมากมายเขาเองก็มิมีทางรู้ได้เช่นกัน
แม้แต่ชื่อเสียงของมู่จวินฮานก็มิเคยได้ยินมาก่อน เขาคิดเพียงว่าตนได้เผาทำลายหลักฐานไปเกือบหมดแล้วมิมีทางตรวจสอบได้อีก
“ข้ามิเชื่อว่ามันจักตรวจสอบอันใดได้ ! ” หลังกลับถึงจวนเจ้าเมือง ใบหน้าของเขาก็แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
วันต่อมา บนโต๊ะของมู่จวินฮานจึงเต็มไปด้วยกองหลักฐานการทุจริตของท่านเจ้าเมือง
เจ้าเมืองทั้งสี่ร่วมมือกันปล้นผลผลิตของชาวบ้าน แต่มิมีผู้ใดรายงานต่อราชสำนัก
มู่จวินฮานที่นั่งอยู่ด้านบนจึงสั่งให้เรียกคนเหล่านั้นมา
“ท่านอ๋อง…” เวลานี้ขาทั้งสองข้างของเจ้าเมืองสั่นเทา เขากลัวว่าจักโดนกองบัญชีปาลงมาใส่หน้า
เป็นจริงดังนั้น เมื่อมู่จวินฮานโยนสมุดบัญชีที่กองอยู่บนโต๊ะลงมาใส่หน้าของเขาจริง “ท่านเจ้าเมืองอธิบายให้เปิ่นหวางฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น ? ”
…
*เจ็บสั้นดีกว่าปวดนาน เพราะอย่างไรก็เจ็บเหมือนกัน ดังนั้นจึงเลือกเจ็บระยะสั้นดีกว่า