พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 433 การเปลี่ยนแปลงในวังหลวง
ตอนที่ 433 การเปลี่ยนแปลงในวังหลวง
ตอนที่ชิงเฟิงกล่าวออกมาก็มองไปที่อันหลิงเกออย่างระมัดระวังเพราะอย่างไรตอนนี้อันหลิงเกอก็มีความสัมพันธ์อันดีกับหอสดับพิรุณ หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหอสดับพิรุณจริง…
“เช่นนั้นพวกเราไปหอสดับพิรุณกันเถิด”
ช่วงนี้อันหลิงเกอมีเรื่องที่อยากสอบถามคนของหอสดับพิรุณอยู่เช่นกัน ในเมื่อมีโอกาสแล้วก็ไปถามพร้อมเรื่องโรคระบาดเลยแล้วกัน
แต่ยังมิทันได้ออกนอกจวนก็ได้รับข่าวจากในวังเสียก่อน
“พวกเจ้าจงอยู่แต่ในจวน อย่าออกไปไหนเพราะใกล้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว ! ”
อันหลิงเกอมิเข้าใจในสิ่งที่อันอิงเฉิงกล่าวจึงมิยอมทำตามเพราะในเวลานี้นางยังมีเรื่องต้องไปจัดการ
“ท่านพ่อ เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ ? ” นางเพิ่งจัดการเรื่องซูโจวเสร็จก็พบอันอิงเฉิงที่มาหาด้วยท่าทีร้อนรน
มู่จวินฮานคิดว่าวันนี้อันอิงเฉิงคงเข้าวัง ส่วนการที่รีบร้อนกลับมาเช่นนี้แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่
“ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระประชวร ! ”
ว่าอย่างไรนะ ?
กะทันหันเยี่ยงนี้เชียวหรือ ?
ซูโจวก็อยู่ตรงนั้นด้วย เมื่อนึกถึงเรื่องแคว้นชิงเยว่แล้วพวกเขาก็ลอบสบตากัน
เมื่อกล่าวจบอันอิงเฉิงก็รีบกลับจวนโหวทันทีพร้อมสั่งคนดูแลพวกผู้หญิงที่อยู่ในจวน อยู่ ๆ ฝ่าบาททรงพระประชวรเช่นนี้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่นอน
ก่อนหน้านั้นฝ่าบาทเคยแต่งตั้งองค์รัชทายาทไว้ ทว่าองค์รัชทายาทมิเอาไหน…ดูจากสถานการณ์แล้ว ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์คงตกเป็นของจ้าวหลานหยู่เสียมากกว่า !
อันหลิงเกอรู้สึกตระหนกยิ่งนัก วันนี้คงมิอาจไปหอสดับพิรุณได้แล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็หมายความว่าในจวนของพวกเขาคงวุ่นวายเช่นกัน
มู่จวินฮานถูกเรียกตัวเข้าวัง มิมีผู้ใดคาดคิดว่าตำแหน่งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์จักเขียนว่าเป็นองค์ชายเจ็ดจ้าวหลานหยู่และยังให้มู่จวินฮานเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายบริหาร !
“เป็นไปมิได้ เป็นไปมิได้ ! ข้าเป็นองค์ชายแล้วมันมีสิทธิ์อันใดมาคานอำนาจยามข้าบริหารราชสำนัก ! ”
จ้าวหลานหยู่โวยวายอยู่ในวังหลวงจนใครก็มิอาจสู้หน้าได้ มิว่าอย่างไรเขาก็มิเชื่อว่าฟู่หวงจักให้มู่จวินฮานมาเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายบริหาร
ฟู่หวงมิโปรดมู่จวินฮานมาตลอดมิใช่หรือ ?
ตอนนี้พระองค์ประชวรกะทันหัน มิมีผู้ใดคิดว่าในราชโองการแม้เขียนให้เขาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนก็ยังต้องทำตามคำแนะนำของมู่จวินฮาน !
“สามวันให้หลังจักมีการปฏิรูปราชสำนักครั้งใหม่ ! ”
เสียงประกาศจากกรมพิธีการดังขึ้น ทำให้จ้าวหลานหยู่สงบลงอย่างมิน่าเชื่อ
เดิมทีเขาคิดว่ามีโอกาสชนะอยู่แล้ว คาดมิถึงว่าจักถูกฟู่หวงตลบหลังเช่นนี้
“มู่จวินฮาน แผนการนี้มิเลว ! ”
จ้าวหลานหยู่เห็นมู่จวินฮานและอันหลิงเกอเดินเข้ามาก็ขบกรามแน่น อันที่จริงแล้วมู่จวินฮานก็คาดมิถึงว่าฮ่องเต้ที่เย็นชากับตนจักสั่งให้มาเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายบริหารเพื่อช่วยเหลือและคานอำนาจของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เช่นนี้
และที่คาดมิถึงยิ่งกว่าคือคนที่รักตัวกลัวตายเช่นฝ่าบาทจนดูแลพระวรกายดียิ่ง เหตุใดจึงประชวรกะทันหันเอาได้ ?
“จวินฮานมาแล้ว” ในวังหลวงแห่งนี้ผู้ที่เรียกจวินฮานได้มีมิมากนัก แม่นมหลิวคล้ายว่าแก่ไปเป็นสิบปีก็มิปาน ใบหน้าที่ชราเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“แม่นม” อันหลิงเกอย่อตัวลงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้นางมิเคยได้พบแม่นมท่านนี้มาก่อน
แต่อาศัยโอกาสที่ฮ่องเต้ประชวร พวกเขาจึงสามารถเข้าวังมาพบนางได้
นางเป็นแม่นมของมู่จวินฮานและคอยอยู่เคียงข้างมู่เหล่าหวางเฟยมาตลอดหลายปี
“จวินฮาน มานี่สิ”
แม่นมหลิวเรียกมู่จวินฮานมาที่วังหลัง แต่อันหลิงเกอมิได้ตามเข้าไปด้วยซึ่งด้านหลังนั้นเป็นที่พำนักของมู่เหล่าหวางเฟย ก่อนหน้านี้อันหลิงเกอเคยพบอยู่หลายครั้งและที่วันนี้มิตามเข้าไปด้วยก็เพราะอยากให้มู่จวินฮานและมารดาได้สนทนากันตามลำพัง
แม้มิรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ หรือมู่เหล่าหวางเฟยเป็นคนเช่นไร แต่มิว่าเป็นอย่างไรนางก็จักคอยอยู่เคียงข้างมู่จวินฮานตลอดไป
แต่สิ่งที่นางมั่นใจได้ก็คือในเมื่อนางเลือกมู่จวินฮานแล้วก็มิมีทางเปลี่ยนใจและคงเป็นเช่นนี้เรื่อยไป
มิว่าเขาเป็นท่านอ๋องที่โดนฝ่าบาทหวาดระแวงหรือเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายบริหารผู้สูงส่ง นางก็ยังเป็นอันหลิงเกอ เป็นเกอเอ๋อคนเดิมของเขา
ขณะที่มู่จวินฮานได้มีโอกาสพบมารดาอีกครั้ง ด้านองค์ชายเจ็ดจ้าวหลานหยู่ที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนก็กำลังเผชิญเรื่องสะเทือนใจมิน้อย
“ไม่ พวกเจ้าอย่าเอาตัวหมู่เฟยของข้าไป ! ”
“ทูลองค์ชาย นี่คือรายชื่อที่ฝ่าบาททรงกำหนดให้ไปคอยดูแลพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
คาดมิถึงว่าฮ่องเต้ประสงค์ให้หลี่กุ้ยเฟยเป็นหนึ่งในผู้ที่คอยปรนนิบัติพระองค์ด้วย
เพราะตอนนี้อาการประชวรของฝ่าบาทคล้ายโรคระบาด หากหมู่เฟยคอยปรนนิบัติเช่นนั้น เกรงว่า…
“หยู่เอ๋อ ช่างเถิด”
หลี่กุ้ยเฟยรู้ดีว่าฮ่องเต้มีความคิดล้ำลึก เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าจักมิปล่อยนางไว้เช่นกัน
นางเข้าใจความหมายของฮ่องเต้ดี หากนางเข้าไปปรนนิบัติข้างพระวรกายแล้วหยู่เอ๋อจึงสามารถรอดพ้น
ใจบุรุษ ! เขาต้องการหลักประกันว่าจักปกป้องอำนาจของเขาไว้โดยมิโดนผู้ใดแย่งชิง ต่อให้คนผู้นั้นเป็นโอรสของตน เขาก็มิเชื่อใจเลย
ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งตกเป็นเป้าได้ง่ายอยู่แล้ว
ส่วนฝั่งอันหลิงเกอกำลังเดินเคียงข้างมู่จวินฮานเข้าไปด้านในตำหนักและได้เห็นฮ่องเต้ที่สูงส่งในวันวาน บัดนี้นอนอยู่ท่ามกลางเหล่าหมอหลวงที่กำลังถวายการรักษา
ทุกอย่างล้วนอนิจจัง อันหลิงเกอมิได้ร้องไห้ออกมา รวมทั้งมิได้ปลอบโยนมู่จวินฮานแต่อย่างใด เกิด แก่ เจ็บ ตาย ผู้เป็นหมอเยี่ยงนางย่อมพบเห็นมามิน้อย
จนทำให้นางกลายเป็นคนมิหลั่งน้ำตาออกมาโดยง่ายอีก
ตอนเด็ก นางได้เผชิญการจากลาของท่านแม่ หลังจากนั้นเมื่อพบคนที่นอนป่วยบนเตียง นางก็มิได้รู้สึกอันใดเลย
กอปรกับการที่นางได้เกิดใหม่อีกครั้ง ต่อให้คนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นฮ่องเต้ นางก็มิได้รู้สึกเศร้าเสียใจแม้แต่น้อย
หรือกล่าวอีกนัยก็คือก่อนหน้านี้ฝ่าบาทวางแผนทำร้ายพวกนางมามากจนนางมิหลงเหลือความรู้สึกสงสารให้แล้ว
หากเอ่ยถึงความสงสารแล้ว นางคิดว่าจ้าวหลานหยู่ดูน่าสงสารมากกว่าอีก
ก่อนหน้านี้เขามั่นใจว่าบัลลังก์ต้องเป็นของตนอย่างแน่นอนจึงมิได้เตรียมตัว แต่มิคิดว่าจักเจอเข้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนของเขาความจริงแล้วถูกตำแหน่งของมู่จวินฮานกดไว้จนหมด
และแผนการนี้ของฝ่าบาทก็ทำให้เห็นว่าที่จริงพระองค์มิได้ต้องการยกตำแหน่งให้องค์ชายเจ็ดแม้แต่น้อย
“จวินฮาน โรคระบาดครั้งนี้เพิ่งเกิดขึ้นในแคว้นชิงเยว่ แต่ฝ่าบาททรงติดโรคนี้ได้ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปเจ้าค่ะ”
เมื่อกลับถึงจวน อันหลิงเกอก็เอ่ยขึ้นทันที
มู่จวินฮานก็กำลังนึกถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน เรื่องครั้งนี้มิว่าอย่างไรคนที่ดูจักได้ประโยชน์มากสุดก็คือองค์ชายเจ็ด
หากบอกว่าทั้งหมดนี้องค์ชายเจ็ดเป็นคนทำก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว
เพียงแต่ตอนนี้ยังไร้หลักฐาน พวกเขาจึงมิสามารถทำอันใดจ้าวหลานหยู่ได้
“พวกเรารอดูไปก่อนแล้วกัน”
พระอาการของฝ่าบาทมีหมอหลวงคอยดูแลอยู่แล้ว ทั้งสองก็สามารถอาศัยโอกาสเรื่องช่วยโรคระบาดเพื่อสืบหาความจริงได้ด้วย บางทีอาจทำให้เจอวิธีแก้ไขก็ได้
โรคระบาดครั้งนี้เกิดขึ้นที่แคว้นชิงเยว่ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ดูมีความสุขมิน้อย แต่ตอนนี้ติดโรคเสียเอง มิรู้ว่าทรงคิดอย่างไรบ้างแล้ว
“หรือว่า…” อยู่ ๆ อันหลิงเกอก็คาดเดาบางอย่างที่อันตรายขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทโกรธแค้นที่แคว้นชิงเยว่ใช้พิษหนอนกู่ทำร้ายราษฎรของพระองค์มาก หากครั้งนี้ฝ่าบาทสั่งให้คนไปวางยาแคว้นชิงเยว่ แต่พระองค์มิทันระวังจึงติดโรคเสียเอง
เมื่อได้ฟังการคาดเดาของอันหลิงเกอ มู่จวินฮานถึงขั้นขมวดคิ้วมุ่น
“เรื่องนี้พวกเราอย่าเพิ่งคาดเดาไปก่อน สถานการณ์ของฝ่าบาทยังต้องใช้เวลาอีกมากและคงต้องลำบากเกอเอ๋อแล้ว”
เขาได้รับหน้าที่เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายบริหารและต่อไปงานต้องยุ่งกว่านี้หลายเท่า
“เจ้าค่ะ”
เมื่อกลับถึงจวน เหล่าสตรีที่รู้เรื่องนี้ต่างก็รู้สึกมิเป็นธรรม ตำแหน่งของมู่จวินฮานสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่พวกนางยังมิได้ความดีความชอบใดเลย
ใจของมู่จวินฮานมั่นคงจนมิมีผู้ใดกล้าคิดเพ้อฝัน ทว่าก็ยังมีคนริษยาอยู่ดี
โดยเฉพาะหลิงอวี่หนิง ท่านพ่อติดตามมู่จวินฮานมานานถึงเพียงนี้ สร้างผลงานก็มาก แต่การที่มู่จวินฮานได้รับแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายบริหารในครั้งนี้กลับมิส่งเสริมบิดาแม้แต่น้อย ดูท่าแล้วเขาคงมิเห็นค่าตระกูลหลิงเอาเสียเลย !