พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 447 นั่งบนภูดูเสือกัดกัน
ตอนที่ 447 นั่งบนภูดูเสือกัดกัน
อันหลิงเกอใช้มือลูบหน้าผากของอวี๋หมิงหลันเบา ๆ “เจ้าเป็นถึงผู้มีพระคุณของท่านอ๋อง ตอนนี้เข้ามาอยู่ในจวนอ๋องแล้ว มิว่ามองจากมุมไหนข้าก็ควรดูแลเจ้าให้มากกว่านี้ เพียงแต่…”
จากนั้นอันหลิงเกอก็เงียบลง ก่อนยกมือขึ้นกุมหน้าอกของตนคล้ายลำบากใจที่จักเอ่ยออกมา “เพียงแต่เจ้าเข้ามาหลังนาง แม้บอกว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของท่านอ๋อง แต่อย่างไรนางก็เป็นเช่อเฟย อีกทั้งบิดาของนางยังเป็นที่ไว้วางใจของท่านอ๋อง แม้แต่ข้าเองก็ต้องเกรงใจนาง นับประสาอันใดกับเจ้า”
เมื่อกล่าวจบอันหลิงเกอก็เบือนหน้าหนี ขณะที่ไหล่สะท้านขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นเพราะข้าไร้ความสามารถจึงปกป้องน้องสาวมิได้ เจ้า เจ้าอย่าตำหนิข้าเลย ! ”
อวี๋หมิงหลันเห็นอันหลิงเกอเดินจากไปอย่างเหนื่อยล้า ฝ่ามือของนางก็กำผ้าไหมเนื้อดีบนเตียงจนยับยู่ยี่โดยมิรู้ตัว “หลิงอวี่หนิง ! ”
ส่วนอันหลิงเกอก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ปล่อยให้พวกนางสู้กันเองแล้วกัน !
หลังจากนั้นมู่จวินฮานก็ได้รับมอบหมายให้ซ่อมแซมอุทยานหลวง นอกจากนี้คนที่มาช่วยงานยังเป็นอันอิงเฉิงแห่งจวนโหวอีกด้วย
ในเมื่อมู่จวินฮานทราบพระประสงค์ของฝ่าบาทแล้วจึงใช้วิธีจัดงานเลี้ยงเพื่อขอรับบริจาคเงินจากเหล่าขุนนางชั้นสูงแทน
เพียงแต่วิธีนี้ช่างเสี่ยงยิ่งนักเพราะขุนนางชั้นสูงทั้งหลายเป็นพวกเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น
“เกอเอ๋อ อ๋องมู่ พวกเราเข้าไปกันเถิด” อันอิงเฉิงเอ่ยขึ้นมา หลังจัดการได้ช่วงหนึ่งอุทยานหลวงก็ถูกซ่อมแซมไปมากแล้ว เพียงแต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือการขอบริจาคเงินจากเหล่าขุนนางชั้นสูงเพื่อนำมาเป็นทุน
อันหลิงเกอพยักหน้า ก่อนที่พวกเขาจักเดินเข้าไปด้านในด้วยกัน
เมื่อเข้ามาในวัง พวกเขาก็แยกย้ายกันไป อันหลิงเกอและมู่จวินฮานแวะไปหามู่เหล่าหวางเฟย ส่วนอันอิงเฉิงตรงเข้าไปรายงานฝ่าบาททันที
มู่เหล่าหวางเฟยเมื่อเห็นมู่จวินฮานและอันหลิงเกอมาหา ทั้งฟังพวกเขากล่าวถึงเรื่องอุทยานหลวง นางก็เอ่ยขึ้นมา “สวรรค์คุ้มครองแท้ ๆ แต่พวกเจ้าต้องระวังให้มาก เพราะพวกขุนนางในราชสำนักให้ช่วยกล่าวอันใดมิยากหรอก แต่การเอาเงินจากพวกเขาเกรงว่า…”
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้นอันหลิงเกอจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนาพร้อมเผยรอยยิ้มออกมา “สุขภาพของหมู่เฟยเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ? ”
มู่เหล่าหวางเฟยจึงยิ้มตอบ “ดีขึ้นมากแล้ว ตั้งแต่ออกจากวังไปเยี่ยมพวกเจ้าได้ตามใจชอบ สุขภาพของแม่ก็ดีขึ้นมาก ! ”
อันหลิงเกอเห็นว่าสีหน้าของมู่เหล่าหวางเฟยดีขึ้นมิน้อยก็รู้สึกวางใจจึงนั่งสนทนากันอีกพักใหญ่
หลังคุยกับเหล่าหวางเฟยเสร็จแล้วอันหลิงเกอกับมู่จวินฮานก็เอ่ยลาเพื่อไปรวมตัวกับอันอิงเฉิงอีกครั้ง
ตกกลางคืน ภายในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขและความสนุกสนาน
แล้วช่วงเวลาสงบสุขหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ผ่านไป วันนี้อากาศดีมิน้อย อันหลิงเกอจึงเชิญซูเอ๋อมาเที่ยวที่จวนอ๋อง
ตอนนี้เป็นช่วงที่บุปผาในสวนกำลังบานสะพรั่ง อันหลิงเกอจึงพาซูเอ๋อไปชมดอกไม้พร้อมสนทนากันเรื่อยเปื่อย
ส่วนอวี๋หมิงหลันรู้สึกมิพอใจอย่างมาก เพราะช่วงที่ผ่านมาอันหลิงเกอและมู่จวินฮานยุ่งอยู่กับเรื่องอุทยานหลวง
ในขณะที่อวี๋หมิงหลันเดินเข้ามาในสวนก็บังเอิญได้ยินเสียงพูดคุยและหัวเราะของอันหลิงเกอกับซูเอ๋อ นางกำมือแน่นด้วยความโมโห เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังเดินมาทางที่ตนยืนอยู่ ด้วยความโกรธและริษยาที่ปะทุในใจนางจึงหมุนตัวหวังเดินจากไป แต่เพราะนางรีบเดินจึงมิทันระวังจนล้มลงกับพื้น
นางร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “โอ๊ย…”
นางคลำไปที่หลังศีรษะของตนก็พบว่ามีเลือดติดมือมาด้วยจึงร้องอย่างตกใจแล้วหมดสติไป “ช่วยด้วย…”
สาวใช้เห็นเจ้านายหมดสติก็มองอย่างตื่นตระหนก “กู่เหนียง กู่เหนียงเจ้าคะ…”
อันหลิงเกอเห็นดังนั้นก็รีบสั่งสาวใช้ของตนให้รีบไปตามหมอทันที
เรื่องแค่นี้นางมิมีทางรักษาให้อวี๋หมิงหลันเองแน่นอน
สุดท้ายเมื่อได้รับการรักษาจากท่านหมอ อวี๋หมิงหลันจึงมิเป็นอันใดมากแล้ว อันหลิงเกอเห็นดังนั้นก็สั่งให้คนเตรียมของขวัญเพื่อไปเยี่ยมนางอีกครา
แต่เมื่ออวี๋หมิงหลันเห็นอันหลิงเกอก็ยกนิ้วชี้หน้าพร้อมเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้า…เพราะเจ้า…แค้นข้า ! ”
ได้เห็นอวี๋หมิงหลันแสดงละครฉากใหญ่ อันหลิงเกอก็ทนดูอย่างเอือมระอา
อันหลิงเกอโดนนางใส่ร้ายเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงเย็น “ข้าผลักเจ้าหรือไม่ เจ้าเองย่อมรู้ตัวดี ตอนนี้ข้าคิดว่าเจ้าดูแลตนเองให้ดีก่อน ! ข้ากลับดีกว่า ! ”
อวี๋หมิงหลันเห็นดังนั้นก็ได้แต่ชี้ไปทางที่อันหลิงเกอเพิ่งจากไป สาวใช้เห็นเจ้านายโมโหถึงเพียงนี้จึงจดจำความแค้นเอาไว้ ก่อนไปกระจายข่าวใส่ร้ายอันหลิงเกอว่าแค้นเคืองอวี๋หมิงหลันจึงตั้งใจผลักจนล้ม เพียงมินานข่าวการบาดเจ็บของอวี๋หมิงหลันก็กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจวน
แต่เรื่องนี้เข้าหูมู่เหล่าหวางเฟยเช่นกัน นางโมโหมากเพราะย่อมเชื่ออันหลิงเกออยู่แล้ว
นาวจึงออกคำสั่งว่าหากผู้ใดยังกล้าเอาเรื่องนี้ไปนินทาอีกก็จักโดนลงโทษสถานหนัก !
หลังจากนั้น ในช่วงที่อวี๋หมิงหลันกำลังโกรธแค้นอยู่ มู่เหล่าหวางเฟยก็ออกหน้าปกป้องอันหลิงเกอเพื่อช่วยคืนความบริสุทธิ์ให้
อวี๋หมิงหลันรู้สึกโกรธแค้นจนล้มป่วยและมิสามารถลงจากเตียงได้
จากนั้นมินาน บริเวณหน้าจวนโหวก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
“ให้พวกเราเข้าไปเดี๋ยวนี้” คนเหล่านั้นเป็นครอบครัวของพวกขุนนางระดับสูง พวกเขาพยายามยื้อยุดฉุดกระชากกับบ่าวรับใช้ที่ขวางทางไว้
เหล่าบ่าวรับใช้ที่เห็นอีกฝ่ายเป็นถึงฮูหยินและบุตรของขุนนางขั้นสูงก็มิอาจทำอันใดได้มากนัก ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทโยนภาระเรื่องค่าซ่อมแซมอุทยานหลวงให้เป็นหน้าที่ของพวกขุนนางซึ่งรู้สึกว่าพวกตนมิได้ประโยชน์อันใดกับเรื่องนี้เลย
เรื่องนี้ฝ่าบาทได้มอบหมายให้มู่จวินฮานและอันอิงเฉิงดูแลจัดการ พวกเขาที่มิกล้าไปก่อเรื่องยังจวนอ๋องมู่จึงมารวมตัวกันที่จวนโหวอันเพื่อให้อันอิงเฉิงไปขอร้องอ๋องมู่แทนพวกตน
ท่านอ๋องโปรดปรานและฟังคำของพระชายาเอกอย่างมาก พวกเขาจึงมิสามารถเข้าพบพระชายาได้โดยง่าย แต่สามารถบีบบังคับให้อันอิงเฉิงช่วยได้ !
แต่อันอิงเฉิงมิได้ใส่ใจจักช่วยพวกเขาในเรื่องนี้เลย และก็มิอยากให้บุตรีต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก
เขาจึงปฏิเสธไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เหมือนมิได้เข้าหูแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายยังนำของขวัญมากมายมามอบให้ด้วย
สุดท้ายเมื่อการมอบของขวัญยังมิได้ผล พวกเขาจึงใช้วิธีคล้ายอันธพาลมากดดันแทน
“นายท่าน พวกเราห้ามมิไหวแล้วขอรับ พวกเขามาร้องอยู่หน้าประตูหลายวันแล้ว บางคนร้องเรียกจนเสียงแหบเสียงแห้งแต่ก็ยังมิยอมกลับไป ทั้งยังเกือบทำร้ายพวกเราจนบาดเจ็บด้วยขอรับ”
พ่อบ้านเข้ามารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกให้อันอิงเฉิงฟังอย่างละเอียด เพราะสถานการณ์ในตอนนี้บ่าวเช่นพวกตนมิสามารถต้านได้อีกต่อไป ประตูจวนก็ถูกถีบจนใกล้พังอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อบ้านรายงาน อันอิงเฉิงก็กุมขมับ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก
พ่อบ้านจึงเดินตามไปด้วยความงุนงง จากนั้นก็เห็นว่าอันอิงเฉิงหยิบกระบี่ขึ้นมาพร้อมเดินไปทางประตูด้วยความโมโห
เมื่อเห็นอันอิงเฉิงถือกระบี่เดินออกมาด้วยท่าทีโมโห เหล่าครอบครัวขุนนางทั้งหลายก็รีบถอยหลังทันทีเพราะกลัวว่าเขาจักทำร้ายตนจริง ๆ
แต่ผิดคาดเพราะอันอิงเฉิงเพียงแขวนกระบี่ไว้ที่หน้าประตู ก่อนหันมาถลึงตาใส่คนเหล่านั้นแล้วเดินกลับเข้าจวน
เรื่องนี้ย่อมดังมาถึงหูของอันหลิงเกอเช่นกัน
“พวกเราไปเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาหยุดต่อต้านกันเถิด” อันหลิงเกอแต่งตัวเสร็จก็เตรียมลากปี้จูและหมิงซินออกนอกจวน
“พระชายา แต่ว่า…” เห็นท่าทางลังเลของปี้จูแล้วอันหลิงเกอก็เกิดความสงสัย “เหตุใดหรือ ? มีเรื่องอันใดก็พูดมา”