พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 451 ร่วมมือกับอินเยว่หยา
ตอนที่ 451 ร่วมมือกับอินเยว่หยา
“พระชายา ให้ปี้จูอยู่ดูแลท่านดีกว่าเจ้าค่ะ”
“มิเป็นไร ทำตามที่ข้าบอกเถิด”
“เจ้าค่ะ…”
แม้ปี้จูอยากอยู่เป็นเพื่อนอันหลิงเกอมากเพียงใด แต่ก็รู้ดีว่าอันหลิงเกอมีนิสัยรักความสงบ วันนี้เกิดเรื่องขึ้นก็คงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า
ปี้จูเข้าใจเจ้านายของตนดี อีกฝ่ายเป็นคนแข็งนอกทว่าอ่อนใน
“ท่านมาได้อย่างไร…”
อันหลิงเกอกำลังปิดประตูกลับเห็นมู่จวินฮานยืนอยู่ด้านนอก
“เปิ่นหวางแค่อยากมาดูเจ้า”
มู่จวินฮานส่งขวดยาเล็ก ๆ ขวดหนึ่งให้ อันหลิงเกอรู้ว่าคงเป็นยาสมานแผลที่เขาเตรียมมา
“เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอรับไว้ แม้ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นบ้างแต่ความหนาวเหน็บที่เกิดขึ้นก็มิได้ลดลง
“เมื่อครู่ เจ้าเป็นอันใดมากหรือไม่ ? ”
มู่จวินฮานมองไปที่เข่าของนางแต่ถูกกระโปรงปิดเอาไว้
“ช่างเถิด ในเมื่อเจ้ามิเป็นอันใด เปิ่นหวางก็มิกวนแล้ว”
เมื่อกล่าวจบมู่จวินฮานก็มิได้รั้งรออีกเพราะเขาหันหลังและเดินจากไปทันที
อันหลิงเกอแม้รู้สึกผิดหวังแต่ก็มิได้รั้งเขาเอาไว้
ตอนนี้มู่จวินฮานแต่งสนมคนใหม่ ด้านอันหลิงเกอก็มิว่างด้วยเช่นกัน
วันนี้นางไปเดินเล่นในสวนและบังเอิญพบอินเยว่หยากับหลิงอวี่หนิงเข้าพอดี
อินเยว่หยาเดินมาขวางทาง เดิมทีอันหลิงเกอคิดเดินจากไป แต่สตรีคนนี้เหมือนมีบางอย่างต้องการพูด ทว่ากลายเป็นหลิงอวี่หนิงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแทนพร้อมสีหน้าตื่นตกใจ “พระชายามิแยแสสนมในจวนถึงเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ ? ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่หนิง ฝ่ายอินเยว่หยาก็มองอย่างรู้สึกดีมิน้อยเพราะคาดมิถึงว่าอีกฝ่ายจักช่วยกล่าวแทนตนเช่นนี้ แม้วันนี้นางล่วงเกินอันหลิงเกอลงไปก็เกรงว่าท่านอ๋องคงมิว่าอันใด ส่งผลให้นางรู้สึกเชื่อใจหลิงอวี่หนิงขึ้นมาทันที
อันหลิงเกอที่เดินห่างออกมาจากพวกนางแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่หนิงก็หยุดฝีเท้าลงก่อนเหลือบตามองครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเดินจากไปโดยมิได้กล่าวอันใดแม้แต่คำเดียว
ปี้จูที่อยู่ข้างกายแม้โมโหแต่เมื่อเห็นพระชายามิได้กล่าวสิ่งใดออกมา นางย่อมมิกล้าพูดมากเช่นกัน นางแค่ถลึงตาใส่หลิงอวี่หนิงแล้วเดินตามอันหลิงเกอไปเท่านั้น
หลังทานอาหารเสร็จและกลับมาที่ห้อง อันหลิงเกอรู้สึกว่าสตรีที่อยู่กับหลิงอวี่หนิงเมื่อครู่ช่างคุ้นตายิ่งนัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่นึกเท่าไรก็นึกมิออก
ปี้จูที่อยู่ข้างกายก้มหน้าลงแล้วถามอย่างสงสัย “พระชายา ท่านรู้สึกว่าสตรีเมื่อครู่ดูคุ้นตาหรือไม่เจ้าคะ ? ”
แววตาของอันหลิงเกอกระจ่างขึ้นมาทันที ก่อนหันไปถามปี้จู “เจ้าเคยเห็นนางมาก่อนหรือ ? ข้าก็รู้สึกคุ้นหน้านางแต่นึกมิออกว่าเคยพบนางที่ไหนมาก่อนกันแน่”
“พระชายายังจำสตรีที่ท่านอ๋องให้ไปรับเข้าจวนมาเมื่อหลายวันก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ” ปี้จูคิดอยู่พักหนึ่งจนมั่นใจแล้วจึงเอ่ยปากออกมา
เมื่อโดนย้ำเตือนขึ้นมาอันหลิงเกอก็จดจำได้ทันที
ก่อนที่มุมปากยกยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา “สตรีคนนี้ความคิดร้ายกาจมิเบา”
กล้าอาศัยฐานะของอันหนิงกงจู่เพื่อแต่งเข้ามาในจวนอ๋อง ดูเป็นคนมิธรรมดาทีเดียว ! แต่ท่าทางของมู่จวินฮาน…
หลายวันมานี้อันหลิงเกอมักรู้สึกหงุดหงิดอยู่เสมอ เหมือนมีเรื่องในใจที่คิดอย่างไรก็คิดมิออก
ปี้จูก็รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างจึงรีบเอ่ยเตือน “พระชายา หลิงเช่อเฟยผู้นี้มิรู้ว่ามีแผนการอันใดอีก ตอนนี้นางไปตีสนิทกับคนที่เข้ามาใหม่แล้ว ท่านต้องระวังให้มากเจ้าค่ะ”
“เจ้าวางใจเถิด” นางปลอบปี้จูแต่หัวคิ้วก็ยังขมวดมิคลาย “นางก่อเรื่องมิได้มากนักหรอก”
แต่สิ่งที่ทำให้คิดมิตกมากสุดก็คือเป้าหมายของหลิงอวี่หนิงเพราะตอนนี้อีกฝ่ายมิได้ช่วยฮ่องเต้ทำงานใดเลย หรือว่านางรักมู่จวินฮานจากใจจริง ?
เห็นท่าทางกังวลใจของพระชายาแล้วปี้จูจึงเอ่ยขึ้นว่า “พระชายา พวกเราบอกเรื่องทั้งหมดให้ท่านอ๋องทราบดีหรือไม่เจ้าคะ ขอแค่มีท่านอ๋องคอยปกป้อง มิว่าพวกนางมีเป้าหมายอันใดก็มิมีทางทำสำเร็จเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอก้มหน้าไตร่ตรองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ “มิได้ หากเป็นเช่นนั้นก็ยากที่จักป้องกันอยู่แล้ว”
ตอนนี้มู่จวินฮานฟังนางที่ไหนกันเล่า ปี้จูรู้ว่าพระชายาพูดเพราะมีเหตุผลจึงก้มหน้าลงโดยมิกล่าวสิ่งใดอีก
อีกด้านหนึ่ง สตรีสองคนสะใจอย่างมาก พอนึกถึงสีหน้าของอันหลิงเกอตอนเดินจากไป อินเยว่หยาก็ยกยิ้มทันที
คาดมิถึงว่าวันหนึ่งพระชายามู่จักถูกนางยั่วโทสะจนพูดมิออกเช่นนี้ ต่อให้ตอนแรกปากเก่งเยี่ยงไรสุดท้ายก็พูดมิออกอยู่ดี
จากนั้นนางก็หันไปจับมือหลิงอวี่หนิงที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างพอใจ ก่อนสนทนากันอย่างสนิทสนม “พี่สาว ข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในจวน โชคดีจริง ๆ ที่มีท่านคอยดูแล”
หลิงอวี่หนิงพยักหน้า ก่อนหัวเราะออกมาเบา ๆ “มิเป็นไร เราอยู่ในจวนเดียวกันแล้วต้องคอยดูแลกันและกัน”
คนสองคนต่างมีความคิดเป็นของตนเอง แต่ตอนนี้พวกนางมีเป้าหมายเดียวกันก็คืออันหลิงเกอ หากอันหลิงเกอยังเป็นพระชายาอยู่ ระหว่างพวกนางสองคนก็ยังสามารถเป็นพันธมิตรกันต่อได้
แต่หากอันหลิงเกอหลุดจากตำแหน่งพระชายาไปแล้ว พวกนางคงต้องสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง
“เห็นท่าทางพูดมิออกของนางแล้ว ข้ามีความสุขยิ่งนัก” อินเยว่หยาส่งเสียง หึ ออกมา ภายในหัวของนางมีแต่ภาพของอันหลิงเกอที่จากไปด้วยสีหน้ามิบ่งบอกอารมณ์ “ตอนที่ข้าได้พบนางตอนอยู่กับกงจู่ นางยังเป็นเพียงคุณหนูใหญ่อันอยู่เลย เฮอะ ตอนนั้นนางหยิ่งผยองมิน้อย ! ”
อินเยว่หยาเชิดหน้าอย่างภูมิใจและมิได้สนใจมองหลิงอวี่หนิงแต่อย่างใด เมื่อครู่จึงมิเห็นสายตาดูถูกที่มองมาทางตน
หากหลิงอวี่หนิงผู้นี้ได้เป็นพระชายาเอกเมื่อใด อินเยว่หยาก็มิได้น่ากลัวเลย
ดังนั้นนางจึงตอบพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้ว พระชายามิได้รับความโปรดปรานอีก พวกเราพี่น้องก็มีโอกาสแล้ว” นางยิ่งพูดให้อันหลิงเกอดูมิดีเท่าไร ภายในใจของอินเยว่หยาก็ยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นเท่านั้น
แต่ก็ยังมิลืมประโยคสุดท้ายของหลิงอวี่หนิง นางจึงตบที่บ่าอีกฝ่ายเบา ๆ “น้ำใจนี้ น้องสาวขอจดจำไว้”
คนส่วนใหญ่ในจวนต่างก็เป็นสตรีซึ่งล้วนอยู่ใต้การควบคุมของข้าทั้งสิ้น
หลิงอวี่หนิงก้มหน้าลงแล้วแสร้งทำซาบซึ้งใจ “เอาล่ะ น้องสาวมิต้องเกรงใจหรอก”
ยิ่งได้ยินหลิงอวี่หนิงกล่าวเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกได้ใจ อินเยว่หยาจึงดึงปิ่นของตนออกมาแล้วปักไว้บนมวยผมของหลิงอวี่หนิง
หลิงอวี่หนิงเอื้อมมือไปลูบปิ่นที่อินเยว่หยาปักให้บนศีรษะก็รู้ว่าเป็นของมีค่าอย่างแน่นอน ก่อนเอ่ยออกมาอย่างซาบซึ้งใจ “น้องสาวมอบปิ่นล้ำค่าเช่นนี้ให้ข้าได้อย่างไร ? ”
“ท่านรับไว้เถิด แค่ปิ่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น มิใช่เรื่องใหญ่อันใด” อินเยว่หยาจิบชาเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “ต่อไปข้ายังมีเรื่องให้พี่สาวช่วยอีกมาก จักเสียดายของนอกกายได้อย่างไร”
นางมิมีทางเห็นสายตาริษยาของหลิงอวี่หนิงเป็นแน่ ของพวกนี้ครอบครัวที่ร่ำรวยเยี่ยงตระกูลอินย่อมมีมากมายอยู่แล้ว แต่ตระกูลหลิง…
แม้ในใจรู้สึกแค้นเคือง ทว่าใบหน้าก็ยังแสดงออกว่าซาบซึ้งมิเปลี่ยน “เช่นนั้นข้าก็จักรับไว้” สีหน้าดีใจทำให้อินเยว่หยาพึงพอใจอย่างมาก