พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 461 สตรีปลอมเป็นบุรุษ
ตอนที่ 461 สตรีปลอมเป็นบุรุษ
เมื่อกลับเข้ากระโจมของตนแล้ว อันหลิงเกอเพิ่งรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดเล็กน้อยบริเวณบาดแผล พลันนึกถึงบาดแผลบนร่างกายขึ้นมาได้จึงเปิดผ้าพันแผลออกก็พบว่าบาดแผลดูเหมือนเริ่มปริออกเล็กน้อย
อันหลิงเกอจึงเรียกปี้จูมาทำแผลและเปลี่ยนชุด ทว่าเห็นมู่จวินฮานเดินตามเข้ามาพร้อมสีหน้าห่วงใย ส่งผลให้บรรยากาศรอบกายตกสู่ความอึดอัดในชั่วพริบตา
ส่วนปี้จูก็รู้ดีว่าอันหลิงเกอมิสามารถให้มู่จวินฮานล่วงรู้ความลับได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำเพียงยืนเงียบอยู่ด้านข้างโดยมิกล่าวสิ่งใด
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? ” มู่จวินฮานถามแล้วแสร้งทำมิรู้อันใดเลย
แต่ในความเป็นจริงทั้งสองคนต่างรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่มิสะดวกเปิดเผยออกมา
“ข้าน้อยมิเป็นไรขอรับ เพียงให้คนของข้าน้อยช่วยทำแผลก็มิได้เป็นอันใดแล้ว” ประโยคนี้ของอันหลิงเกอแฝงไปด้วยความหมายเชิงไล่แขก แต่มู่จวินฮานแสร้งทำมิรู้แล้วมีท่าทีว่าในเมื่อเป็นบุรุษเช่นเดียวกันก็มิเห็นมีสิ่งใดมิเหมาะสม ด้วยเหตุนี้เขาจึงยืนอยู่ที่เดิมมิขยับไปไหน
และคิดในใจว่าเมื่อนางอยากแสดงก็จงแสดงต่อไป!
“ท่านอ๋องอยากให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าท่านกับข้าน้อย…” อันหลิงเกอมิได้พูดต่อซึ่งมู่จวินฮานฉลาดอยู่แล้วย่อมเข้าใจความหมายของนางดี เช่นนั้นเขาจึงซ่อนรอยยิ้มเอาไว้แล้วกล่าวลาพร้อมเดินออกจากกระโจม
“นายท่าน บาดแผลของท่าน…” หลังปี้จูเห็นมู่จวินฮานออกไปแล้วก็รีบเข้ามาตรวจดูบาดแผลของอันหลิงเกอทันที
“มิเป็นอันใดมาก เพียงแต่เมื่อครู่ไปพบท่านแม่ทัพหลี่คงเคลื่อนไหวแรงไปหน่อย ดูท่าแล้วคงทำให้บาดแผลปริเล็กน้อย” อันหลิงเกอเอ่ยถึงสาเหตุที่บาดแผลปริให้ปี้จูฟัง แต่ภายในใจของนางนึกถึงเรื่องที่องค์ชายเจ็ดสมรู้ร่วมคิดกับอ๋องหนิง
แม้นางรู้ว่าองค์ชายเจ็ดคิดอยากครองบัลลังก์ แต่นึกมิถึงว่าเขาจักกล้าสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูเยี่ยงนี้
และมิรู้ว่าหลี่กุ้ยเฟยมารดาที่รักและภูมิใจในตัวเขาหนักหนาจักรู้เรื่องนี้หรือไม่ เพียงแต่น่าเสียดายเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนมากเกินไป ทั้งเวลานี้ยังไร้หลักฐานมาพิสูจน์ความผิดขององค์ชายเจ็ดได้ ตราบใดที่ฮ่องเต้ยังทรงโปรดปรานหลี่กุ้ยเฟยอยู่ก็เกรงว่าคงกำจัดองค์ชายเจ็ดมิได้
หากคิดกำจัดองค์ชายเจ็ดก็ต้องกำจัดหลี่กุ้ยเฟยเสียก่อน
“นายท่าน บ่าวทายาให้เรียบร้อยแล้วขอรับ” ปี้จูทายาเสร็จแล้วก็ช่วยสวมเสื้อผ้าให้อันหลิงเกอ แต่พบว่าเจ้านายมีท่าทีครุ่นคิด นางจึงถอยหลังออกไปอย่างเงียบเชียบ
หลังจากที่อันหลิงเกอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกง่วงขึ้นมาฉับพลัน เหตุเพราะเหนื่อยล้ามาหลายวันจึงอยากพักผ่อนเสียหน่อย นางจึงวางเรื่องราวที่แสนวุ่นวายลง จากนั้นก็เข้าสู่ห้วงนิทรา…
พอได้พักผ่อนมาสองสามวัน อันหลิงเกอก็รู้สึกว่าตนเกือบหายดีแล้ว เพราะเรื่องสงครามที่มิมีหยุดหย่อน นางจึงโดนบังคับให้มาอยู่ที่กระโจมใหญ่ของแม่ทัพหลี่และเกรงว่าต้องอยู่ในค่ายทหารนี้อีกสักพักใหญ่
“ข้าอยากอยู่ในค่ายกับเจ้า”
ในระหว่างทานอาหาร มู่จวินฮานกล่าวกับนางหลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว
“ท่านคืออ๋องมู่ ท่านมิควรมาอยู่ในค่ายทหารที่ทุรกันดารเยี่ยงนี้กับข้าน้อย แน่นอนว่าตัวข้าน้อยก็อยู่ที่นี่อีกมินานหรอกขอรับ หวังเพียงให้อ๋องมู่ช่วยดูแลพี่สาวของข้าน้อยให้ดีก็พอขอรับ” เมื่ออันหลิงเกอกล่าวจบก็นึกได้ว่าตอนนี้นางให้หมิงซินแกล้งป่วยหนัก คงสามารถหลอกคนในจวนอ๋องได้อีกสองสามวัน
“อย่างไรก็มิเหมาะสมเพราะข้าน้อยมิรู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นในค่ายทหารนี้อีก หากท่านอ๋องอยู่ที่นี่ ข้าน้อยก็มิอาจรับประกันความปลอดภัยของท่านได้ขอรับ” อันหลิงเกอพูดเกลี้ยกล่อมเพื่อมิให้เขาอยู่ต่อ
“เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก ข้าเป็นผู้นำทัพ ยิ่งไปกว่านั้นทหารในต้าโจวก็ตั้งมั่นอยู่มิไกลจากที่นี่ เพียงแต่ตอนนี้กำลังเผชิญการแก่งแย่งกันภายในต้าโจว ข้าจึงให้พวกเขาถอยทัพและนี่เป็นภาระหน้าที่ของข้า ! ”
ประโยคนี้ของมู่จวินฮานทำให้อันหลิงเกอหมดคำพูดเพราะนางนำทัพทหารมิได้ แต่ตอนนี้ทหารต้องมีผู้นำอยู่ในค่ายและเขากำลังใช้เหตุผลนี้เพื่ออยู่ต่อ
“เอาตามนี้ ข้ากลับกระโจมแล้ว” เมื่อพูดจบมู่จวินฮานก็เดินออกไปโดยมิยอมให้นางได้ปฏิเสธ
เขาจักยอมให้ชายาอยู่ในค่ายทหารเพียงลำพังได้เยี่ยงไร ?
กาลเวลาผ่านไปครึ่งเดือนและในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาอันหลิงเกอมิรู้ว่าคิดอันใด อยู่ ๆ ก็เข้าไปฝึกฝนทหาร ฝึกเขียนสารและฝึกคุ้มกันสินค้ากับมู่จวินฮาน ซึ่งการที่นางได้เป็นผู้ติดตามเขาเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจ
ตอนนี้เหลือเวลาอีกสามวันก่อนเข้าสู่การสู้รบ ทหารของชนเผ่าชายแดนได้ตั้งทัพอยู่ริมแม่น้ำ อันหลิงเกอมิรู้ว่าสงครามครั้งนี้จักได้รับชัยชนะหรือไม่ ยิ่งใช้เวลาอยู่ในค่ายทหารเป็นเวลานานก็ยิ่งทำให้นางเป็นห่วงความปลอดภัยของทหารเหล่านี้มากขึ้น
สำหรับนางแล้ว พวกเขามิใช่เครื่องสังเวยเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน แต่เป็นเพื่อนพี่น้องที่ร่วมรบไปด้วยกัน พวกเขาก็มีบ้านที่ต้องกลับไปเช่นกัน
เมื่อสงครามมาเยือน อันหลิงเกอจึงขึ้นไปยืนบนกำแพงเมืองแล้วเห็นมู่จวินฮานกับหลี่ซู่ร่วมทำสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารใต้บัญชา
นางนึกถึงฮ่องเต้ที่ตอนนี้กำลังเสวยสุขอยู่ในวัง รวมทั้งองค์ชายเจ็ดที่ถูกส่งตัวกลับวัง สำหรับความผิดขององค์ชายเจ็ดนั้นก็ได้หลี่กุ้ยเฟยกล่าวเพียงมิกี่คำ ฮ่องเต้ก็มิเอาเรื่องตามที่คาดคิดไว้
ประมุขใหญ่ของแคว้นปฏิบัติต่อบุตรชายที่โง่เขลาเยี่ยงนี้ น่าสงสารผู้ที่เชื่อมั่นพระองค์รวมทั้งราษฎรและเหล่าทหารที่ทำสงครามเพื่อปกป้องพระองค์
ทว่าเรื่องนี้มู่จวินฮานมิได้กล่าวอันใด เพราะเขารู้ว่าฮ่องเต้ต้องมีแผนการจึงเริ่มคุ้มกันองค์ชายเจ็ดไว้ก่อน
“กล่าวกันว่าครั้งนี้เป็นการรบที่นำทัพด้วยอ๋องหนิง มิทราบว่าสงครามครั้งนี้จักได้รับชัยชนะหรือไม่” เสียงของทหารในกองทัพต่างก็ถกเถียงถึงเรื่องสงครามและอันหลิงเกอก็วิตกกังวลมากเช่นกัน
อันหลิงเกออยู่ในค่ายทหารร่วมกับมู่จวินฮานมากว่าครึ่งเดือนแล้ว แม้ประสบการณ์มิน้อย ทว่าครั้งนี้คนที่ต้องเผชิญหน้าก็ทำให้นางหวั่นใจเหลือเกิน
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายอันนี่เอง เจ้าทำให้ข้าลืมมิลงจริง ๆ ” อันหลิงเกอเห็นแม่ทัพที่นั่งอยู่บนเกี้ยวบัญชาการซึ่งก็คืออ๋องหนิงแห่งแคว้นชิงเยว่ เขาเงยหน้าขึ้นกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลันทำให้นางนึกถึงตอนที่บุกเข้าจวนและตัดเอ็นแขนขาของเขา เมื่อเห็นท่าทางยืนมิได้ของเขาแล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะนาง
“อันหลิงหยู วันนี้ข้ามิยอมให้เจ้าหนีไปได้อีก ! ” นัยน์ตามุ่งมั่นของอ๋องหนิงปรากฏความเคียดแค้นราวกับฉีกร่างของนางออกเป็นชิ้น เนื่องจากอ๋องหนิงนำทัพมานานหลายปีมิเคยอับอายเยี่ยงนี้มาก่อน ครั้งนี้ตกอยู่ในน้ำมือของเด็กเหลือขอผู้หนึ่ง เขาจักยอมได้เยี่ยงไร ความขมขื่นในครานั้นยังจำได้ดีว่าเป็นเพราะอันหลิงหยู !
เดิมทีอันหลิงเกอก็มิมั่นใจว่าสามารถชนะอ๋องหนิงได้ เพราะอย่างไรเขาก็นำทัพออกรบเป็นเวลาหลายปี ส่วนตนเป็นแค่สตรีนางหนึ่งที่ด้อยประสบการณ์
ทว่าด้วยนิสัยของอ๋องหนิงที่เย็นชาและโหดเหี้ยม หากพวกนางแพ้ศึกแล้วตกอยู่ในมือของเขา ทหารที่นางนำทัพมาก็คงโดนปฏิบัติอย่างโหดเหี้ยม ส่วนนางคงมีจุดจบมิสวยเช่นกัน
ดังนั้นจึงแพ้ศึกนี้มิได้!
ในขณะที่อันหลิงเกอรู้สึกกังวลอยู่นั้น มู่จวินฮานก็เดินมายืนเคียงข้างนางบนกำแพงเมืองจึงทำให้ความรู้สึกกังวลใจมลายหายไป
“เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก มีข้าอยู่ทั้งคน” มู่จวินฮานได้ยินเรื่องราวของอ๋องหนิงมานานแล้วย่อมรู้ความสามารถของอีกฝ่าย ทำให้เขารู้ว่าการศึกในครานี้โชคร้ายยิ่งกว่าโชคดี
ในตอนนี้การทำศึกรุนแรงทบทวี ทหารทั้งสองฝั่งบาดเจ็บล้มตายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ภายในใจของอันหลิงเกอรู้สึกกังวลกว่าเดิมเพราะทุกคนย่อมรู้ความสามารถของอ๋องหนิงเป็นอย่างดีและมิยอมทนมองกองทัพของตนล้มตายเช่นนี้หรอก
ในขณะที่อันหลิงเกอกำลังกังวลนั้น เรื่องราวที่มิคาดฝันก็บังเกิด ทหารใต้อาณัติของอ๋องหนิงเริ่มพุ่งตัวเข้าหาฝั่งนางอย่างบ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นการส่งคนมาตายและเมื่อเห็นเยี่ยงนั้นอันหลิงเกอก็อดตื่นตระหนกมิได้ ต้องมีอันใดบางอย่างมิถูกต้อง!
ทันใดนั้นก็บังเกิดระเบิดรุนแรงขึ้นในกองทัพฝั่งของนางโดยฉับพลัน หลังทหารที่พุ่งตัวเข้ามาเหล่านั้นถูกสังหาร ระเบิดก็เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นสารก่อระเบิดตลบอบอวลไปทั่วสนามรบ