พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 465 อับอาย
ตอนที่ 465 อับอาย
“เช่นนี้ค่อยดีหน่อย”
เมื่ออันหลิงเกอเห็นรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติของเขาก็อดยิ้มตามมิได้
ทุกวันนี้นางสามารถปรับตัวให้เข้ากับวันเวลาที่แตกต่างไปจากอดีตชาติ เรื่องที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจนก็คือการมีมู่จวินฮานคอยอยู่เคียงข้าง
หลังจากสมรสแล้วพวกนางต่างก็มีความรู้สึกลึกซึ้งยิ่งขึ้น หากได้จับมือกับบุรุษเยี่ยงนี้ไปชั่วชีวิตก็คงเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังมองตาและส่งยิ้มให้กัน สหายรักที่นั่งอยู่ถัดไปมิไกลก็โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ
คือจ้าวหลานหยู่ !
เมื่อครู่เขาอยากระบายอารมณ์จึงมาที่โรงน้ำชา เหตุใดจึงมาพบมู่จวินฮานอีก
ถ้าแค่มู่จวินฮานคนเดียวก็แล้วไป ทว่าเมื่อเห็นอันหลิงเกอยิ้มแย้มดั่งดอกไม้ผลิบานเยี่ยงนี้ ในใจของจ้าวหลานหยู่ก็ยิ่งมิสบอารมณ์
ครั้นก่อนเขาก็เคยอยากมีเรื่องราวที่งดงามกับอันหลิงเกอ หากเป็นเยี่ยงนี้จวนโหวก็คงเป็นของเขาไปด้วย
คาดมิถึงว่าบัดนี้อันหลิงเกอได้สมรสกับมู่จวินฮาน องค์ชายสี่พระเชษฐา ไหนยังจวนโหวก็มีสัมพันธ์อันดีงามกับมู่จวินฮานจึงกลายเป็นการสมคบคิดสร้างความลำบากให้แก่องค์ชายเจ็ดเยี่ยงตน
พอเห็นทั้งสองมีความสุขเยี่ยงนี้ ในใจของจ้าวหลานหยู่ก็ได้แค่เจ็บปวด
“เรียนท่านอ๋อง องค์ชายเจ็ดก็อยู่ที่นี่ขอรับ…”
ชิงเฟิงยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูของมู่จวินฮาน
ส่วนจ้าวหลานหยู่เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องมาก็ทำได้แค่ลุกขึ้นพลางยกยิ้มมุมปากและเดินมาหา
“บัดนี้อ๋องมู่สำราญใจ ข้าก็มิอยากรบกวน”
จ้าวหลานหยู่มิอยากหนีกระเจิงเยี่ยงนี้หรอก แต่ในเวลานี้ถ้ายังขืนอยู่ที่นี่ต่อก็เกรงว่าจักอดกลั้นโทสะเอาไว้มิได้
เขาก็เหมือนสุนัขจนตรอก หากยังมีข่าวลือทำนองว่าเสียเปรียบออกไปอีก ฟู่หวงคงยิ่งเย้ยหยันตน
“เจียงอ๋องช้าก่อน”
มู่จวินฮานสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของอันหลิงเกอและรับรู้ความบาดหมางในอดีตระหว่างนางกับจ้าวหลานหยู่จึงรีบรั้งเขาเอาไว้
จ้าวหลานหยู่หันกลับมาพร้อมกับกำหมัดแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อ
“เกอเอ๋อคออ่อน มิสู้เจียงอ๋องอยู่ดื่มเป็นเพื่อนข้าสักจอกเถิด”
มู่จวินฮานจงใจทำให้อับอาย แม้ว่าคนที่เคยรังแกอันหลิงเกอคืออันหลิงอี แต่จ้าวหลานหยู่ผู้นี้มีส่วนสมรู้ร่วมคิดอยู่มิน้อย มู่จวินฮานจึงอยากช่วยระบายความโกรธให้ภรรยา
เวลานี้ทั้งสองคน คนหนึ่งสำราญใจ อีกคนหมดอาลัยตายอยาก ทว่านั่งดื่มสุราด้วยกัน ช่างน่าขันเสียจริง
อย่างไรก็ตามจ้าวหลานหยู่ออกไปมิได้แล้วจึงฝืนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งสองคน เมื่อเห็นสายตาของอันหลิงเกอมีแค่มู่จวินฮาน ในใจของเขาก็เจ็บปวดกว่าเดิม
“ว่าไปแล้วข้ากับพระชายามู่ก็เคยมีวาสนาต่อกัน” เมื่อได้ยินคำว่าวาสนา เสียงหัวเราะเย็นชาอย่างมิมีปี่มีขลุ่ยของอันหลิงเกอก็ดังเข้าหูของมู่จวินฮาน
“เป็นวาสนาจริงๆ เจียงอ๋องผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือยังจดจำเรื่องนั้นได้ เกอเอ๋อขอเคารพจากใจเพคะ”
เมื่อสิ้นสุดคำพูดนี้ สีหน้าของจ้าวหลานหยู่ก็ยิ่งดูแย่
“พระชายามู่เป็นผู้ปราดเปรื่อง เหตุใดจึงลืมสิ้น ? ”
ดูเหมือนอันหลิงเกอกำลังรอคำพูดนี้ของจ้าวหลานหยู่ รู้ว่าเขาคิดอาศัยนางมาทำให้มู่จวินฮานลำบากใจ ทันทีที่เห็นเขาเอ่ยจึงรีบพูดต่อทันที “หากพระองค์มิเคยลืม เช่นนั้นพระองค์ควรแสดงออกเยี่ยงไรดีเพคะ ? ”
คำกล่าวนี้สร้างความลำบากใจให้จ้าวหลานหยู่มิน้อย เดิมทีเป็นคำที่สุภาพ หากนางต้องการสิ่งใดจริง เครื่องประดับอัญมณีเขาย่อมหาให้ได้เพื่อยืนยันว่าเขาและนางเคยมีวาสนาร่วมกันมาก่อนและทำให้มู่จวินฮานหวาดระแวงอันหลิงเกอ
“มิรู้ว่าพระชายามู่อยากได้สิ่งใด ? ”
ในเมื่อจ้าวหลานหยู่กล่าวออกมาคงนึกเสียใจทีหลังมิได้แล้ว มู่จวินฮานที่ได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็สำราญใจและมิได้กล่าวสิ่งใดออกมานอกจากนั่งมองอันหลิงเกอหลอกล่อจ้าวหลานหยู่
เขาอยากเห็นว่าชายาจักเฉือนเนื้อจ้าวหลานหยู่อย่างไร
“ได้ยินว่าจวนอ๋องอี้มีตะเกียงลายครามงดงามมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่เป็นของอีเอ๋อเพคะ”
แท้จริงแล้วตะเกียงดวงนั้นมิใช่ของอันหลิงอี !
หลังจากมารดาของนางสิ้นใจ ตะเกียงที่เหลือก็ถูกหลี่ซื่อช่วงชิงไป หากมิใช่เพราะนางโกรธแค้นหลี่ซื่อสองแม่ลูกนั้นมากก็อาจมินึกถึงตะเกียงนี้แล้ว
ต่อให้มันแตกละเอียดก็มิสมควรเก็บไว้ข้างกายของอันหลิงอี
“หืม ? เรื่องเล็กเยี่ยงนี้…”
“เกอเอ๋อขออีกสิ่งหนึ่งได้หรือไม่เพคะ ? ”
ในเวลานี้อันหลิงเกออาศัยท่าทางมิรู้ความของนางชนะจ้าวหลานหยู่เสียได้ แม้แต่ชิงเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อดหัวเราะมิได้ พระชายาของท่านอ๋องน่าสนใจจริงเชียว
“สิ่งของเล็กน้อยเยี่ยงนี้พระชายาต้องการแค่ไหนก็ย่อมได้”
จ้าวหลานหยู่มิสนใจตะเกียงลายครามย่อมเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นแค่สินเดิมของอันหลิงอีเท่านั้น แต่เมื่อคิดให้ดีแล้ว การที่เขาจักเอ่ยปากกับอันหลิงอีก็มิใช่เรื่องง่าย
ตะเกียงเมื่อครู่ทำให้อันหลิงอีแค่กระอักเลือด ทว่าของสิ่งนี้ต่างหากถือเป็นการเฉือนเนื้อของจ้าวหลานหยู่โดยแท้จริง !
“หลังจากที่เกอเอ๋อมาอยู่จวนอ๋องมู่ก็มักรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจมิค่อยสะดวก อาจเพราะแปลกที่และเกอเอ๋อก็ได้ยินว่าเจียงอ๋องมีหญ้าเซียน…”
หญ้าเซียนนี้เป็นของที่เขาต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจถึงจักได้มันมา
จวนโหวห่างจากจวนอ๋องมู่มิกี่ก้าว นางถึงขั้นกล่าวว่าแปลกที่เชียวหรือ ?
สาเหตุที่เรียกว่าหญ้าเซียนเพราะมันหายากมากจนมิมีผู้ใดเคยเห็น จ้าวหลานหยู่ก็แค่บังเอิญไปพบเมื่อครั้นออกเที่ยวเล่น แต่ก็มองเป็นของล้ำค่าในกำมือมาโดยตลอดและหารู้ไม่ว่าหญ้าเซียนเป็นสมุนไพรที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้
“เช่นนั้น…”
“เกอเอ๋อก็คิดแล้วคิดอีกว่าครั้งก่อนช่วยทูลขอชีวิตของพระองค์ในท้องพระโรง ตอนนี้หญ้าเซียนก็ถือว่าเป็นเครื่องรางคุ้มครองชีวิตเกอเอ๋อแล้วกันเพคะ”
จ้าวหลานหยู่คิดหาข้ออ้างปฏิเสธ มิคิดว่าอันหลิงเกอจักสรรหาคำพูดมาดักทางเขาได้ เวลานี้หญ้าเซียนกลายเป็นของในถุงเก็บทองอันหลิงเกอไปแล้ว
“เข้าใจแล้ว สองสิ่งนี้จักถูกส่งไปจวนอ๋องมู่แน่นอน”
จ้าวหลานหยู่กัดฟันพูดออกไปแม้ในใจกระอักเลือด เขามิรู้ว่าเหตุใดอันหลิงเกอถึงได้ช่วงชิงสมบัติล้ำค่าไปโดยมิได้ออกแรงเยี่ยงนี้ แต่ในเมื่อลั่นวาจาแล้ว เขาจึงเสียหน้ามิได้
เมื่อเห็นอันหลิงเกอฉลาดปราดเปรื่อง ในใจของจ้าวหลานหยู่ก็ยิ่งเสียใจ ครั้งก่อนครอบครองตัวนางมิได้สุดท้ายตกไปเป็นชายาของมู่จวินฮานเสียอย่างนั้น
ต้องโทษนังโง่อันหลิงอี !
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวกลับจวนก่อน”
เมื่อเห็นจ้าวหลานหยู่จากไปเยี่ยงสุนัขจนตรอก มู่จวินฮานก็อุ้มอันหลิงเกอขึ้นรถม้าทันที
หลังกลับเข้ามาในจวน น้ำชาได้เตรียมไว้พร้อมและเดิมทีอันหลิงเกอคิดว่ามู่จวินฮานอย่างกลับไปยังห้องหนังสือ ที่ไหนได้เขาตรงเข้ามาในห้องของนางแทน
“งานเลี้ยงของจวนอ๋องมู่ในอีกสองวันข้างหน้า ท่านโหวและคนในจวนโหวก็มาร่วมงานด้วย”
เมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับบิดา อันหลิงเกอก็อดเบิกตากว้างมิได้ แววตาแฝงไปด้วยความกังวล
“เพียงแต่…” น้ำเสียงของมู่จวินฮานยังฟังสบาย อันหลิงเกอจึงเงยหน้ามองเขา
“เจ้าควรรู้ว่าการปลอมตัวเป็นอันหลิงหยูจักต้องอธิบายกับเว่ยซื่อให้ดี”
เช่นนี้…
อันหลิงเกอขมวดคิ้วมุ่น
แม้เป็นเรื่องดีแต่ก็ต้องได้รับคำอธิบายที่ดีด้วยเช่นกัน
“ช่างเถิด ท่านมิต้องห่วงข้าหรอก ข้าสามารถจัดการเองได้เจ้าค่ะ”
เรื่องที่เกิดขึ้นนางมิเคยคิดหลอกลวงหรือปิดบังคนในจวนโหวอยู่แล้ว นางจึงหันไปมองเขาและส่งยิ้มอ่อนโยนให้
เพราะการที่มู่จวินฮานเอ่ยเรื่องนี้กับตนก็พิสูจน์ได้ว่าเขาใส่ใจเรื่องของนางมาก แค่นี้ก็เพียงพอ
สามีภรรยาจวนอ๋องมู่รักใคร่กลมเกลียวเช่นนี้ ทางจวนอ๋องอี้กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง