พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 466 ตัดใจ
ตอนที่ 466 ตัดใจ
“ท่านพี่อยากได้สิ่งใดจากอีเอ๋อเพคะ ? ”
เมื่อได้ยินว่าจ้าวหลานหยู่ต้องการตะเกียงลายครามดวงนั้น ดวงตาของอันหลิงอีก็เบิกกว้างและมองไปทางเขาจนแทบถลนออกมา
“แค่ตะเกียงดวงเดียว เจ้าอย่ามัวบ่ายเบี่ยง ! ”
จ้าวหลานหยู่ไร้อารมณ์เกลี้ยกล่อมอันหลิงอี เขาจึงหยิบตะเกียงและเตรียมเดินจากไปเพราะถึงอย่างไรตนก็เสียเปรียบยิ่งกว่าผู้ใด
“นี่คือคำขอที่อันหลิงเกอมีต่อท่านพี่หรือเพคะ ? ” อันหลิงอีกัดฟันเอ่ยถามออกมา
“นอกจากพี่สาวผู้แสนดีของเจ้าแล้วจักมีผู้ใดกล้าให้ข้าตอบแทนบุญคุณยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้ ? ” จ้าวหลานหยู่เอ่ยลอดไรฟัน
อันหลิงอีมิได้สัมผัสความจนปัญญาที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขาเลย ทว่าในใจนางเริ่มคิดฟุ้งซ่าน หรือท่านพี่จักเอนเอียงไปทางอันหลิงเกอแล้ว ?
วันนี้เป็นตะเกียง วันพรุ่งจักเป็นสิ่งใด ?
“ช้าก่อนเพคะท่านพี่”
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นอันหลิงอีจึงเอ่ยรั้งจ้าวหลานหยู่เอาไว้ ทว่าจ้าวหลานหยู่รู้สึกร้อนใจยิ่งนักเพราะเขาอยากรีบนำสิ่งที่อันหลิงเกอร้องขอส่งให้นางโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ตนกลายเป็นคนจิตใจคับแคบ เพราะตอนนี้ก็เสียหน้ามากพอแล้วมิอยากมากเรื่องไปกว่านี้อีก
“เจ้ายังคิดทำอันใดอีก ก็แค่ตะเกียงดวงเดียว เจ้าค่อยซื้อใหม่อีกหลายดวงได้”
“แค่ตะเกียงดวงเดียวยังมีค่าถึงขั้นให้ท่านพี่ส่งมอบด้วยพระองค์เองหรือเพคะ ? น้องคิดว่าให้น้องที่เป็นสตรีนำไปส่งแทนก็อาจเหมาะสมกว่าเพคะ” เมื่อนางกล่าวจบก็หยิบตะเกียงขึ้นมาและเตรียมเดินออกจากจวน
“ช้าก่อน” จ้าวหลานหยู่รั้งเอาไว้แล้วยื่นกล่องใบหนึ่งยัดใส่มืออันหลิงอี ขณะเดียวกันภายในดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นความอาลัยอาวรณ์ออกมาอย่างชัดเจน
“นี่คือสิ่งใดเพคะ ? ” ทันทีที่อันหลิงอีเปิดดู ความโกรธเคืองภายในใจก็ลุกโชนกว่าเดิม
“ท่านพี่ถึงขั้นมอบหญ้าเซียนให้นางด้วยหรือเพคะ ? ”
เมื่อได้ยินอันหลิงอีเอ่ยถาม จ้าวหลานหยู่ก็จนปัญญาจึงมิรู้ควรตอบว่าเยี่ยงไร ได้แต่ตำหนิตนเองที่อารมณ์ร้อนจนหลงติดกับอันหลิงเกอและเมื่อลั่นวาจาออกไปแล้วจักคืนคำมิได้
“เจ้ารีบไปส่งเถิด อย่าทำให้ข้าอารมณ์เสีย ! ”
เมื่อกล่าวจบ จ้าวหลานหยู่ก็เดินออกไปจากจวนอ๋องอี้และเรื่องนี้ตกอยู่ในสายตาของอี้หวางเฟยทั้งหมด นางได้แต่นึกเย้ยหยันสองพี่น้องอยู่ภายในใจเพราะอย่างไรก็มิมีวันสู้อ๋องมู่ได้
หลังจ้าวหลานหยู่จากไปแล้ว อันหลิงอีแทบอยากทุบตะเกียงให้แตกและอยากเหยียบย่ำหญ้าเซียนให้เสียหายไปเลยยิ่งดี จักได้มิต้องให้อันหลิงเกอและปล่อยให้รอเก้อไปเลย
ทว่าท้ายที่สุดนางก็ต้องนำของสองสิ่งมาถึงจวนอ๋องมู่อยู่ดี
ซึ่งการมาของอันหลิงอีนั้นอันหลิงเกอได้คาดเดาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องนำของมามอบให้ตน แต่นึกมิถึงว่าจักรวดเร็วเยี่ยงนี้
เพราะนางและมู่จวินฮานยังมิทันสนทนากันจบ อันหลิงอีก็มายืนรออยู่หน้าจวนเสียแล้ว
“เรียนพระชายา ฮูหยินอี้ซื่อจื่อมาขอพบเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอันหลิงเกอก็มองไปทางมู่จวินฮานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ในเมื่อนางมาแล้วเจ้าก็ไปดูเถิด ข้ายังต้องไปดูรายงานบางส่วนที่ยังมิได้อ่าน”
มู่จวินฮานรู้จักนางดี ถ้าบอกว่าคนที่อันหลิงเกอเกลียดนั้น สำหรับจ้าวหลานหยู่และหลี่ซื่อยังถือว่าเป็นรอง เพราะคนที่นางเกลียดมากที่สุดก็คืออันหลิงอี
และการรับมือกับอันหลิงอีนั้นนางต้องเผชิญด้วยตนเอง
“สิ่งที่พี่หญิงต้องการ ข้านำมาให้แล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงอีกล่าวออกมาด้วยท่าทีเย้ยหยัน แต่อันหลิงเกอมิได้ใส่ใจ เพียงเปิดกล่องดูจากนั้นก็ส่งให้ปี้จูที่อยู่ข้างกายอย่างพึงพอใจ
“นำไปเก็บไว้”
เมื่อเห็นอันหลิงเกอรับของด้วยท่าทีนิ่งเฉย อันหลิงอีก็สงสัยขึ้นมาว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกเยี่ยงไรจึงเป็นเหตุให้อดถามออกมามิได้
“วันนั้นพี่หญิงพูดว่าจักมิกล่าวโทษข้าผู้มิรู้ความ มิเคยคิดเลยว่าในใจของพี่หญิงยังมีความเคียดแค้นเยี่ยงนี้อยู่”
ในขณะที่กล่าวก็เริ่มมีหยดน้ำตาไหลรินลงมา
“เหตุใดน้องหญิงจึงกล่าวเยี่ยงนี้ ? ”
อันหลิงเกอแสร้งทำมิรู้
“ตะเกียงดวงนี้…” อันหลิงอียังมิทันกล่าวจบน้ำตาก็ไหลรินมิขาดสาย
“น้องหญิงเข้าใจผิดแล้ว เจียงอ๋องซาบซึ้งน้ำใจในการช่วยเหลือของข้าและท่านอ๋อง ยามอยู่ในท้องพระโรงจึงมอบรางวัลให้เป็นการตอบแทน”
เมื่ออันหลิงเกอกล่าวออกมาก็ทำให้อันหลิงอีพูดอันใดมิออก เพราะถ้านางยังพูดต่อคงเป็นการฉีกหน้าจ้าวหลานหยู่แน่นอน
อย่างไรก็ตามหลังไตร่ตรองในเรื่องนี้แล้วก็ทำให้อันหลิงอีเกิดความสับสนว่าเรื่องนี้จ้าวหลานหยู่เป็นฝ่ายเอ่ยปากมอบสิ่งของให้อันหลิงเกอเองหรืออีกฝ่ายเรียกร้องกันแน่
เนื่องจากมิแน่ใจจึงมิอยากเสียหน้าต่ออันหลิงเกอ ในอนาคตข้างหน้านางยังต้องพึ่งพาอันหลิงเกอเพื่อให้ได้มาซึ่งการครอบครองจวนโหว เพราะเวลานี้นางมิได้เป็นที่โปรดปรานเหมือนแต่ก่อน มีเพียงอันหลิงเกอเท่านั้นเป็นที่โปรดปรานก็จักช่วยให้นางสมปรารถนาได้
ตราบใดที่นางช่วยให้จ้าวหลานหยู่ได้รับอำนาจ ถึงตอนนั้นนางเองก็มีอำนาจเช่นกัน
“พี่หญิงมีร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก หญ้าเซียนนี้ดีมากเลยเจ้าค่ะ ท่านก็ใช้บำรุงร่างกายเถิด”
เมื่อเห็นอันหลิงอีเปลี่ยนหัวข้อสนทนา อันหลิงเกอก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาเพียงแต่คิดในใจว่า
อันหลิงอีแม้เป็นคนโง่เขลา แต่ก็มิได้โง่ถึงขั้นยอมฉีกหน้านางจึงเปลี่ยนเรื่องแล้วแสร้งทำห่วงใยนางขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่นางได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของอันหลิงอีเสียแล้ว มิมีทางโดนอีกฝ่ายและจ้าวหลานหยู่หลอกลวงได้อีก
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็มองอันหลิงอีที่เดินจากไปพลางยกยิ้มพร้อมส่ายหน้าด้วยความเย้ยหยัน นางในตอนนี้ผ่านความเป็นความตายมาหมดแล้ว
เมื่ออันหลิงอีกลับไปแล้วอันหลิงเกอมิมีสิ่งใดทำจึงต้มใบชาแล้วนั่งเป็นเพื่อนมู่จวินฮานอ่านรายงานอยู่ในห้องหนังสือ
“เกอเอ๋อ” ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็เรียกนาง
“เจ้าคะ ? ”
“เจ้าเกลียดอันหลิงอีเพราะเหตุใดหรือ ? ”
มู่จวินฮานตัดสินใจเอ่ยถามออกมาเพราะทุกครั้งที่เห็นความเคียดแค้นสะท้อนผ่านทางสายตาของนาง ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกกังวลเล็กน้อย
เมื่ออันหลิงเกอได้ยินคำพูดและสัมผัสได้ถึงความหึงหวงของมู่จวินฮาน มุมปากของนางก็ยกยิ้มโดยมิรู้ตัว เขาห่วงว่านางจักมีความรู้สึกลึกซึ้งกับจ้าวหลานหยู่หรือไร ?
นางจึงเดินมาข้างกายของเขาพลางมองไปยังโต๊ะที่เป็นระเบียบรวมทั้งลายมือที่งดงามราวกับเด็กหนุ่มทั่วไปบนกระดาษสีขาว
“หากข้ากล่าวว่าเคยฝันว่าตนมิอาจแต่งงานกับท่านได้ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกคราก็ได้แต่งงานกับท่าน ท่านจักเชื่อหรือไม่เจ้าคะ ? ”
น้ำเสียงของอันหลิงเกอสะท้อนความมิมั่นใจออกมา อยู่ ๆ นางก็อยากบอกทุกอย่างกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า บอกสิ่งที่นางเคยประสบพบเจอ แต่นางก็มิมั่นใจว่าจักมีผู้ใดเชื่อนาง
“ข้าเชื่อ” เพราะเขารู้ว่าคำพูดของอันหลิงเกอมิได้จริงจังอันใด
และเขาก็เอ่ยออกมาเพื่อปลอบใจนาง เพราะแม้ว่าเขาเชื่อแต่มันก็เป็นแค่ความฝัน
“ข้ารู้ว่าในความฝันเจ้ามิได้แต่งงานกับข้า ข้ารู้ว่าความฝันของเจ้ามิได้งดงามดั่งที่เจ้าหวัง หากข้าบอกว่ารู้ทุกอย่าง เจ้าจักเชื่อหรือไม่ ? ”
คำเหล่านี้ของมู่จวินฮานทำให้อันหลิงเกอตกตะลึง
เป็นเหตุให้นางถอยหลังไปสองก้าวพร้อมนัยน์ตาจับจ้องไปยังมู่จวินฮานราวกับอยากเห็นความรู้สึกที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา
“เมื่อเจ้าตื่นจากความฝันทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แต่ข้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าประสบพบเจอเพราะสาเหตุบางอย่างนั้นก็เป็นความฝันของข้าเช่นกัน”
“แต่จักเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอดูเหมือนพึมพำกับตนเอง ความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ข้าก็มิรู้เพราะตั้งแต่ที่เจ้าเปลี่ยนไป ข้าก็เหมือนตื่นจากความฝันเช่นกัน”
เป็นไปมิได้ !
มิน่าล่ะ เขาจึงเข้าใจว่านางเกลียดอี้หมิงและอันหลิงอี มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงมองนางสร้างความอัปยศอดสูให้ทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ ที่แท้เขาก็รู้มาโดยตลอด
ในเมื่อเป็นความฝันของเขา ดังนั้นเขาเองก็ย่อมเชื่อและเข้าใจนาง !
เรื่องที่นางกลับชาติมาเกิดใหม่ เขาก็รู้อยู่แล้ว ทว่าเรื่องที่แตกต่างก็คือนางได้แต่งงานกับเขาสำเร็จ !
“เกอเอ๋อ ข้ามิยอมให้เจ้าแบกรับความขมขื่นอีกแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงของมู่จวินฮาน น้ำตาของอันหลิงเกอก็ร่วงหล่นแล้วโผเข้าหาอ้อมกอดของเขา ต่อจากนี้นางเชื่อว่าสิ่งที่เขาสามารถนำมาให้นางคือความอุ่นใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
ความอ่อนโยนของมู่จวินฮานและทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามอบให้นางล้วนทำให้นางยิ่งวางใจขึ้นเรื่อย ๆ