พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 467 เจ้าเล่ห์
ตอนที่ 467 เจ้าเล่ห์
ตลอดหลายวันมานี้หลี่กุ้ยเฟยก็ประทับอยู่ในวังหลวงอย่างปลอดภัย
หากเป็นเช่นนี้นางย่อมเข้าใจว่าในพระทัยของฮ่องเต้มิมีผู้ใดมาแทนตำแหน่งของมู่จวินฮานได้
และอันหลิงเกอที่เป็นพระชายามู่ก็มิมีผู้ใดกล้าคุกคาม ถึงอย่างไรตำแหน่งพระชายามู่ในตอนนี้ก็เหนือกว่าคนทั่วหล้า ไร้ผู้ใดกล้าเข้ามาสั่นคลอนโดยง่าย
ส่วนฮ่องเต้ยังคงมิไว้วางพระทัยเหล่าอ๋องเช่นเดิมและค่อย ๆ ยึดอำนาจจากอ๋องเหล่านั้นคืนมา หากเป็นเยี่ยงนี้อ๋องเหล่านั้นก็มิกล้ามิล้ำเส้น มิมีผู้ใดกล้าเข้ามาส่งเสริมจ้าวหลานหยู่และหลี่กุ้ยเฟยอีกต่อไป
เช่นนี้จึงทำให้หลี่กุ้ยเฟยมิสามารถทำการใดโดยพลการได้ชั่วคราว ถึงอย่างไรนางก็เป็นแค่นางสนมในวังหลัง ยิ่งกว่านั้นเพราะสิ่งที่โอรสกระทำ นางจึงมิได้รับความโปรดปรานเยี่ยงอดีตแล้ว
หากกล่าวว่านางเคยเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในตระกูลหลี่ ฐานะนี้คนธรรมดาเทียบมิได้ก็จริง แต่ตอนนี้นางเป็นแค่สนมทั่วไปที่มิได้รับความโปรดปราน หากไร้อุบายใดก็เกรงว่านางมิสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้อีก
การที่นางจักได้พบขุนนางที่ไว้วางใจได้และช่วยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้นั้นมิใช่เรื่องง่าย ทว่าต้องพลิกผันและล้มเหลวเพราะบุตรชายจนสิ้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ในใจของหลี่กุ้ยเฟยจึงเกิดความเคียดแค้นต่อมู่จวินฮานมาก หากมิใช่เพราะเขา นางก็คงได้เป็นฮองเฮาเพราะโอรสไปแล้ว
แม้องค์ชายเจ็ดมิได้รับความโปรดปราน ทว่าท้ายที่สุดก็ยังเป็นองค์ชาย !
หลี่กุ้ยเฟยย่อมรู้ดีว่าเขามิใช่โอรสของฮ่องเต้แต่เป็นบุตรของแม่ทัพฟางเจวี๋ย
ซึ่งหลี่กุ้ยเฟยมิยอมให้เขาเป็นแค่บุตรแม่ทัพเท่านั้น ทว่าจักใช้ประโยชน์จากเขาให้มากที่สุด
บัดนี้นางสนมในวังหลังจำนวนมากมิสามารถให้กำเนิดทายาทได้ หมายความว่าเรื่องนี้เทียบเคียงกับนางมิได้แน่นอน
ขอเพียงบุตรของนางถือกำเนิดออกมาอย่างราบรื่น นางก็จักได้เป็นนายหญิงแห่งวังหลวง
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่กุ้ยเฟยจึงลูบไปบนหน้าท้องเพราะตอนนี้นางมีเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้แล้ว
หากเป็นเยี่ยงนี้หลี่กุ้ยเฟยย่อมรู้ว่าตนควรทำเช่นไรต่อไป
…
หลายวันมานี้อันหลิงเกอนอนหลับอย่างเป็นสุขเพราะทุกอย่างอยู่ในความสงบมิมีเรื่องภายนอกมาก่อกวน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว
กอปรกับมีความรักจากมู่จวินฮาน ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ว่ามู่จวินฮานมิได้เย็นชาต่อนางอีกแล้ว
ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดีจึงไร้ผู้ใดกล้าดูหมิ่นอันหลิงเกออีก
แต่อันหลิงเกอมักใจอ่อนอยู่เสมอ หากนางกำจัดสตรีในจวนอ๋องออกไป บางทีความวุ่นวายมากมายเหล่านั้นอาจมิเกิดขึ้นในภายภาคหน้าแต่นางก็ทำมิได้อีก
ทว่าเรื่องที่ทำให้อันหลิงเกอต้องปวดศีรษะได้มาถึงอีกครา เพราะหลายวันมานี้ไป๋หลี่เฉินมาหานางที่จวนอยู่บ่อยครั้ง
อันหลิงเกอก็มิอาจปฏิเสธได้เพราะอีกฝ่ายมักถือโอกาสตอนที่มู่จวินฮานออกไปข้างนอกลอบเข้ามาโดยมิบอกให้ทราบก่อน เช่นนี้จึงทำให้อันหลิงเกอมิอาจปฏิเสธได้
ทุกครั้งที่เขามาหาก็มิได้กล่าวอันใดมากความ เพียงแต่ยืนอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างเงียบเชียบจึงทำให้อันหลิงเกออึดอัดใจมิน้อย
อันหลิงเกอก็มิอาจฉีกหน้าเขาได้ เพราะตอนนี้หอสดับพิรุณได้สร้างไมตรีต่อราชสำนักแล้ว เขาก็มักอ้างว่ามาเยี่ยมเยียนอ๋องมู่ทำให้การมาเยือนของเขาดูเหมาะสม
อันหลิงเกอมิอยากสร้างความลำบากใจให้มู่จวินฮานเพราะเรื่องนี้จึงมิได้นำรายงานแก่เขา ทุกครั้งที่เขากลับมาไป๋หลี่เฉินก็กลับไปแล้ว
“วันนี้เจ้าต้องระวังตัวให้มาก” ไป๋หลี่เฉินกล่าวอย่างเลื่อนลอย “วันนี้ข้าเห็นอวี๋หมิงหลันมาปรากฏตัวในจวนของเจ้าและได้ยินว่านางจับมือกับหลี่กุ้ยเฟย ทั้งสองคนอาจก่อความวุ่นวายขึ้นก็ได้ หวังว่าเจ้าจักดูแลตนเองให้ดี”
“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจักมิก่อความวุ่นวาย ? ” อันหลิงเกอถามพร้อมรอยยิ้ม
“…” ไป๋หลี่เฉินมิรู้ควรกล่าวสิ่งใดเมื่ออันหลิงเกอถามเช่นนี้ แต่เห็นแค่รอยยิ้มที่งดงามดุจดอกไม้ผลิบานก็อดหลงใหลมิได้
“หึ หากเจ้าอยู่ฝ่ายเดียวกับข้าก็เกรงว่าเรื่องของเจ้าและข้าจักทำให้พวกนางเป็นกังวลมิน้อย”
เมื่อได้ยินดังนั้นอันหลิงเกอก็ส่งสัญญาณให้ไป๋หลี่เฉินระวังคำพูดเพราะในสายตาของคนรอบข้างเกรงว่าจักเกิดความเข้าใจผิดได้
“ถ้าเจ้ามิอยากอยู่ฝ่ายเดียวกับข้า เช่นนั้นข้าขอลา” ไป๋หลี่เฉินแสร้งทำท่าทางเสียใจและกลับสู่ท่าทางหยอกเย้าดังเดิม
วันต่อมาไป๋หลี่เฉินเข้ามาในจวนอ๋องมู่อีกครา อันหลิงเกอก็ทำการตรวจสอบเรื่องของอวี๋หมิงหลันและหลี่กุ้ยเฟยเรียบร้อยแล้ว
“ข้ามีเรื่องอยากพูดกับท่านพอดี” อันหลิงเกอเดินนำไป๋หลี่เฉินไปยังสถานที่ไร้ผู้คนเพื่อบอกเล่าเรื่องนี้
“เฮ้อ ต่อหน้าเจ้า ข้าสามารถสนทนาได้แค่ในสถานที่ไร้ผู้คนหรอกหรือ ? ” ไป๋หลี่เฉินกล่าวออกมาพร้อมทำท่าทางมิได้รับความเป็นธรรม มองแล้วช่างน่าขบขันเสียจริง แต่อันหลิงเกอกลับหัวเราะมิออก
“อวี๋หมิงหลันรอดมาได้อย่างไร ? ตระกูลของนางโดนสังหารสิ้นและข้าอยากรู้เรื่องที่เกี่ยวกับนาง” อันหลิงเกอเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจังเพราะรู้สึกประหลาดใจว่าอวี๋หมิงหลันต้องใช้ชีวิตลำพังแล้วมีชีวิตรอดมาจนถึงบัดนี้ได้เยี่ยงไร มิคิดแก้แค้นเพื่อบิดาหรือคนในตระกูลเลยหรือ ?
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้ามิแกล้งเจ้าแล้ว เรื่องนี้เจ้ามิต้องกังวลไปหรอกเพราะข้ามิมีวันทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน” ไป๋หลี่เฉินทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้และเดินออกจากจวนอ๋องมู่
“เมื่อครู่มีคนมาหรือ ? ” ทันทีที่มู่จวินฮานกลับมาก็เอ่ยถาม
“เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอที่ยังครุ่นคิดเรื่องของอวี๋หมิงหลันอยู่ก็ลืมอธิบายให้มู่จวินฮานฟัง
มู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอแสดงท่าทีสับสนและมิกล่าวอันใด เขาจึงมิอยากซักไซ้เพราะรู้เรื่องที่ไป๋หลี่เฉินมักมาหาอันหลิงเกอในช่วงนี้อยู่แล้ว
ถึงอย่างไรอันหลิงเกอก็มิได้หลอกลวงและทรยศเขา มู่จวินฮานเชื่อใจนางและเขายังเชื่อมั่นว่านางต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ มิมีทางโดนไป๋หลี่เฉินหลอกใช้ประโยชน์เป็นแน่
ในสายตาของมู่จวินฮานเห็นว่าไป๋หลี่เฉินผู้นี้ซับซ้อนเกินไป
ส่วนอันหลิงเกอเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ทันทีว่าเขาย่อมเข้าใจนางดีแม้มิได้กล่าวอันใดออกไป เนื่องจากเขาฉลาดปราดเปรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นคือทั้งจวนก็เป็นคนของเขาแล้วจักมิรู้เรื่องของนางได้อย่างไรกัน
เพียงแต่เขามิอยากเปิดเผยเสียมากกว่า อันหลิงเกอมองมู่จวินฮานก่อนเผยรอยยิ้มให้ เขา ในมุมนี้ทำให้นางรู้สึกสบายใจยิ่งนักเพราะมิเคยมีความกดดันใดต่อนางเลย
มู่จวินฮานเห็นรอยยิ้มของอันหลิงเกอก็มิได้กล่าวอันใดแต่เลือกนั่งลงพลางเปิดกระดานหมากล้อมแล้วจ้องตากันและกัน
“เจ้าตอบเขาว่าเยี่ยงไร ? ” แม้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมามู่จวินฮานเห็นมีคนมาหาอันหลิงเกอ แต่อีกฝ่ายก็มาเพื่อปกป้องนาง ตัวเขาจึงมิได้ตรวจสอบอันใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิให้คนไปแอบฟังบทสนทนาของอันหลิงเกอและไป๋หลี่เฉิน
“เขามิได้กล่าวสิ่งใดออกมาตามตรง ข้าเองก็แกล้งโง่มาโดยตลอดจึงมิได้ตอบสิ่งใดเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยกยิ้ม แม้ว่ามู่จวินฮานยังแสดงท่าทีเคร่งขรึมในจวนแต่กับนางแล้วเขามักเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นอันหลิงเกอยิ้มให้ มู่จวินฮานย่อมรู้เหตุผลแน่ชัดอยู่แล้ว เขารู้สึกเก้อเขินไปชั่วขณะเพราะตระหนักได้ว่ามีความสนใจในเรื่องของนางมากเหลือเกิน