พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 471 องค์ชายเจ็ดอีกแล้วหรือ?
ตอนที่ 471 องค์ชายเจ็ดอีกแล้วหรือ?
“เช่นนี้…เชิญท่านนั่งรอสักครู่ขอรับ” ความประจบสอพลอบนใบหน้าของเด็กรับใช้ผู้นั้นเปลี่ยนเป็นความระแวดระวังและหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าการมาของอันหลิงเกอต้องมีจุดมุ่งหมายบางอย่างเป็นแน่
อันหลิงเกอกวาดตามองโดยรอบโรงเกลือด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปข้างใน นางกวาดตามองเพียงปราดเดียวก็สะดุดเข้ากับประตูไม้ที่ผุพังบานหนึ่งและลางสังหรณ์กำลังบอกนางว่าหลักฐานที่กำลังตามหาอยู่ด้านในนั้น
เด็กรับใช้รีบเข้ามาขวางไว้และกล่าวว่า “หากแขกผู้สูงศักดิ์ท่านนี้อยากดูเกลือก็เชิญทางนี้ขอรับ”
“ในนั้นเอาไว้ทำสิ่งใดหรือ ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งขรึม
เด็กรับใช้จึงตอบกลับว่า “แค่คลังเก็บของผุพังเท่านั้น มิมีค่าให้ท่านสนใจหรอกขอรับ”
“พวกท่านทั้งสองคือ…? ” น้ำเสียงดังกังวานของคนผู้หนึ่งดังขึ้น เด็กรับใช้หันไปสบตากับเถ้าแก่เนี่ยที่สามารถเข้าใจทันที นางโบกมือไปทางเด็กรับใช้ว่าให้ออกไปก่อน
“เถ้าแก่เนี่ย เรามาตามคำสั่งที่รับมอบหมาย” ปี้จูเอ่ยตามตรงจากนั้นก็ล้วงไปหยิบป้ายสีทองชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เห็นคราแรกก็ทำให้เนี่ยอันอันถึงขั้นต้องนอบน้อมในทันที
สิ่งที่อีกฝ่ายถืออยู่คือป้ายที่มาจากตัวของจ้าวหลานหยู่
เถ้าแก่เนี่ยขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็โค้งตัวและกล่าวว่า “มิทราบว่าแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่านมาด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“เจียงอ๋องมอบหมายให้คุณชายของเรามาตรวจสอบสิ่งของเหล่านี้อีกสักหนึ่งรอบ” ปี้จูกล่าว
เถ้าแก่เนี่ยมองไปยังอันหลิงเกอด้วยความสงสัยที่ก่อเกิดในใจ จากนั้นก็พูดหยั่งเชิงออกไป “ตรวจสอบสิ่งใดกันเจ้าคะ ? ”
“รังนก” อันหลิงเกอกล่าวพร้อมยกยิ้มมุมปากแสร้งทำท่าทางลึกลับ
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยช่างโง่เขลาเสียจริง เชิญคุณชายทั้งสองทางนี้เจ้าค่ะ”
ใบหน้างดงามภายใต้หน้ากากถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดิมทีแค่อยากลองเดิมพันเท่านั้น ดูท่าคนเหล่านี้คงเคยเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ของเจียงอ๋องมาแล้ว
หลังจากนั้นเถ้าแก่เนี่ยก็นำพวกนางเดินไปยังถนนเส้นเล็ก เดินตรงต่อไปทางทิศตะวันออก กระทั่งเดินมาถึงประตูแล้วเถ้าแก่เนี่ยจึงได้พบว่าตนมิได้นำกุญแจมาด้วยจึงรีบหันหลังและกลับไปยังห้องที่อยู่มิไกลทันที
นางทิ้งอันหลิงเกอและปี้จูให้ยืนอยู่หน้าประตู อันหลิงเกอเริ่มร้อนใจอยู่เล็กน้อยเพราะคาดมิถึงว่าราบรื่นเยี่ยงนี้ สิ่งของเหล่านั้นคงอยู่ด้านหลังประตูบานนี้จนนางอยากพังประตูผุพังเข้าไปและจุดไฟเผาให้วอดวายเสียจริง อยากให้จ้าวหลานหยู่หาสิ่งใดมิเจอเลย
แต่ทำเยี่ยงนี้ก็ไร้ประโยชน์ อันหลิงเกอก็รู้อยู่แก่ใจ
เถ้าแก่เนี่ยเพิ่งหยิบกุญแจได้ เด็กรับใช้อีกคนหนึ่งได้มารายงานว่า “ผู้คุ้มกันที่เจียงอ๋องได้จัดไว้กลับมาแล้ว ทั้งยังโกรธมากด้วย มิรู้ว่าไปพบเจอเรื่องอันใดขอรับ ? ”
“เจ้าสนใจมากมายเพราะเหตุใด ก็รีบไปต้อนรับให้ดีสิ” เถ้าแก่เนี่ยหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวว่า “หากพวกเขาถามถึงข้าก็บอกว่าหลังอยู่ตรวจสอบฝั่งนี้เสร็จแล้วจักรีบไปต้อนรับพวกเขาอย่างดี”
โชคดีที่จ้าวหลานหยู่มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันทุกอย่างไว้ ปกติแล้วคนรับหน้าที่ตรวจสอบและคุ้มกันมักมิเข้ามาก้าวก่ายหน้าที่กันและกัน
กล่าวจบก็รีบถือกุญแจเดินมาหาอันหลิงเกอที่อยู่ข้างหน้าทันที
หลังเปิดประตู กลิ่นโลหะก็ทะลักออกมา แม้นางรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่ก็ทำให้อดตื่นตระหนกจนตัวแข็งทื่อมิได้
“นี่คืออาวุธที่เพิ่งมาถึงใหม่ ๆ ส่วนของเก่านั้นเจียงอ๋องได้มาตรวจตราด้วยพระองค์เองแล้ว คงมิจำเป็นต้องตรวจสอบอีกกระมังเจ้าคะ”
เถ้าแก่เนี่ยกล่าวประโยคนี้ สีหน้าของอันหลิงเกอก็ยิ่งอยู่ยิ่งแย่ นางพยายามกดความตื่นตระหนกไว้ในใจ
นี่เป็นของใหม่ เช่นนั้นต้องมีของเก่าซ่อนไว้อีกมากมายเท่าไร
จ้าวหลานหยู่คิดทำอันใดกันแน่ !
“เจียงอ๋องมอบหมายเรื่องนี้ให้เรา เหตุใดจึงให้ผู้อื่นมาด้วย ! ”
ผู้คุ้มกันที่เพิ่งกลับมาและได้ยินเด็กรับใช้บอกว่าเถ้าแก่เนี่ยกำลังพาคนตรวจสอบสินค้าอยู่ เขาจึงตบโต๊ะขึ้นมาทันทีพร้อมมีลางสังหรณ์ว่าต้องเกิดเรื่องมิดีแน่
“สองคนนั้นอยู่ที่ใด เร็ว เราต้องไปเดี๋ยวนี้ ! ”
“พี่ใหญ่ พวกเขาอยู่ในคลังเก็บของด้านนั้นขอรับ” เมื่อได้ยินแล้วสายตาของผู้คุ้มกันก็พลันดุดันราวกับเพชฌฆาตสร้างความตกใจให้เด็กรับใช้ที่มารายงานจนต้องรีบนำทางไปทันที
คนข้างกายของเจียงอ๋องล้วนมิควรเข้าไปยุ่ง พวกคนรับใช้ยิ่งมิกล้าแทรกแซงเข้าไป
เมื่อมาถึงคลังเก็บของเถ้าแก่เนี่ยยังอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นพี่ใหญ่มาถึงก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับด้วยความรีบร้อน แต่ผู้คุ้มกันผลักนางด้วยความโกรธพร้อมกล่าวว่า “คนที่มาเมื่อครู่อยู่ที่ใด ! ”
“อยู่ในคลังเก็บของเจ้าค่ะ ! ”
จากนั้นพี่ใหญ่ก็ผลักเถ้าแก่เนี่ยออกไปอีกครั้งแล้วพุ่งตรงไปยังคลังเก็บของ อันหลิงเกอที่อยู่ด้านในได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากข้างนอกก็รู้สึกมิดี ก่อนชำเลืองไปเห็นผู้นำของคณะร้องงิ้วอยู่ตรงนั้นพอดี
เดิมทีมู่จวินฮานเชิญพวกเขามาร้องงิ้วในจวน ทั้งหมดล้วนผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว!
ไอหยา นี่นางทำพังมิเหลือชิ้นดีเลยหรือ บางทีนี่อาจเป็นเรื่องที่มู่จวินฮานวางแผนไว้แล้วก็ได้ !
เมื่อคิดได้เช่นนั้นอันหลิงเกอก็ตื่นตระหนกและยิ่งมิสบายใจ
“ผู้ที่ใดบังอาจหยามคนของเจียงอ๋อง มิอยากตายดีอย่างนั้นหรือ ! ”
เดิมทีคิดให้โอกาสนางได้อธิบาย แต่บุรุษกลุ่มนั้นก็ลงมือทันที ปี้จูรีบเข้ามาปกป้องอันหลิงเกอ แม้ว่าทั้งสองมีทักษะการต่อสู้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษที่ทั้งสูงและตัวใหญ่กลุ่มนี้ได้
“ดูท่าชายโหดเยี่ยงข้าต้องสับพวกเจ้าเป็นชิ้นแล้ว ! ”
ชายโหดเดินเข้ามาจากนั้นก็ชักกระบี่พุ่งตรงไปหาพวกนาง ปี้จูพาอันหลิงเกอหลบหลีกไปตลอดทาง จากนั้นก็ตรงไปยังกำแพงที่ล้อมด้านนอก คาดมิถึงว่าชายโหดยังมีอาวุธลับ จากนั้นลูกดอกจำนวนหนึ่งก็ลอยเข้ามาและอันหลิงเกอก็รู้สึกเจ็บบริเวณไหล่
อีกทั้งเถ้าแก่เนี่ยที่วิ่งตามมาด้านหลังได้ตะโกนเรียกผู้ช่วยให้มาล้อมเอาไว้ ปี้จูผลักอันหลิงเกอไปด้านหลังพร้อมพูดด้วยเสียงจริงจัง “พระชายาหนีไปก่อนเจ้าค่ะ ! ”
แม้ในใจของอันหลิงเกอมิอยากหนีไปก่อนแล้วทิ้งปี้จูไว้ที่นี่ แต่ก็รู้ว่าฝืนรั้งต่อไปก็จักหนีมิทัน นางจึงรีบหมุนตัวและวิ่งออกไปยังถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ดูเหมือนชายโหดสังเกตเห็นจุดเด่นของอันหลิงเกอจึงให้ผู้อื่นจัดการปี้จู ส่วนเขาก็ไล่ตามอันหลิงเกอไป
ตอนนี้ขาของอันหลิงเกอถูกอาวุธลับปักเอาไว้ ไหล่ก็ยังได้รับบาดเจ็บ ทุกย่างก้าวส่งผลให้บาดแผลปวดร้าวราวกับฉีกออกมา อันหลิงเกอเดินกะเผลกไปยังตรอกแห่งหนึ่ง ก่อนล้มลงกองกับพื้นอย่างน่าอนาถ
“ยังคิดหนีอีก ! ”
บุรุษผู้นั้นยิ้มเยาะ แต่ทันใดนั้นแสงสะท้อนจากกระบี่ก็สว่างวาบ เลือดสาดกระเซ็น ดวงตาของชายโหดเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนล้มตึงไปบนพื้นแล้วสิ้นลม
เห็นเพียงกระบี่ที่ปักค้างอยู่บริเวณคอของเขาก็ทำให้อันหลิงเกอตกตะลึง
จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมสูดหายใจเข้าแล้วมองไปยังมู่จวินฮานที่ถือกระบี่ท่ามกลางสายฝน ตอนนี้เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ คิ้วโค้งเรียวเหมือนกระบี่ ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว มองแล้วสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ดุร้าย
มู่จวินฮานที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงและเย็นเยือก นางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“เหตุใดมัวนั่งโง่งมอยู่บนพื้น หรือหลงใหลในตัวสามีผู้นี้เสียแล้ว ? ” ความโหดเหี้ยมที่สะท้อนออกมาทางแววตาของมู่จวินฮานมลายหายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือรอยยิ้มเบาบาง
อันหลิงเกอรู้สึกว่าหัวใจได้คล้อยตามไปกับน้ำเสียงหยอกล้อนี้ จากนั้นความหวาดกลัวที่มีก็พังทลายลงในชั่วพริบตา ทว่ายังมิทันได้คลี่ยิ้ม นางก็รู้ว่าดวงตาทั้งสองข้างเริ่มมืดลงฉับพลันและมินานนางก็หมดสติไป
ตอนนี้ขาเรียวเล็กของอันหลิงเกออาบไปด้วยโลหิตเพราะอาวุธลับเสียบลงบนเนื้อ โชคดีที่มิมีพิษ
“ได้รับบาดเจ็บแล้วยังฝืนอีก” ความอ่อนโยนสะท้อนออกมาทางแววตาของมู่จวินฮาน จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนอุ้มนางอย่างระมัดระวัง
อันหลิงเกอที่อยู่ในอ้อมกอดดูเหมือนมิยอม ทว่าทนความเจ็บปวดแทบมิไหวแล้วดวงตาจึงปิดสนิทพลางแทรกตัวอยู่ในอ้อมกอดและส่งเสียง เหอะ ออกมาเบา ๆ
“เด็กโง่”
ในวันถัดมา อันหลิงเกอตื่นขึ้นมาก็เป็นยามอู่ ( 11.00-12.59 น. ) แล้ว นางก้มหน้ามองก็เห็นว่าขาเรียวเล็กกับไหล่ล้วนได้รับการทายาพร้อมพันแผลเรียบร้อย