พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 483 ฝากความหวังไว้กับพวกนางหรือ?
ตอนที่ 483 ฝากความหวังไว้กับพวกนางหรือ?
“เหตุใดพระองค์จึงคิดเยี่ยงนี้เพคะ ? ” อันหลิงเกอรู้ว่าหลี่กุ้ยเฟยกำลังคิดอันใดอยู่แต่คาดมิถึงว่าอีกฝ่ายคิดว่าตนและมู่จวินฮานสามารถสนับสนุนองค์ชายน้อยได้
“ครานี้ต้องขอบคุณพระชายาที่ทำให้องค์ชายน้อยมีโอกาสรอด” ในขณะที่หลี่กุ้ยเฟยกล่าว หยดน้ำตาก็ไหลรินออกมาอีกครา “หากเป็นไปได้ก็ขอเพียงอ๋องมู่ยอมเป็นอาจารย์ให้องค์ชายน้อย ข้าก็วางใจแล้ว”
หลี่กุ้ยเฟยวางแผนมาอย่างดีเพราะเวลานี้มู่จวินฮานมิได้แตะต้องจ้าวหลานหยู่ และสองสามีภรรยายังเห็นแก่องค์ชายน้อย ดังนั้นบุตรทั้งสองของหลี่กุ้ยเฟยต่างก็ได้รับการคุ้มกัน
“เกรงว่าเรื่องนี้หม่อมฉันต้องกลับไปปรึกษาท่านอ๋องก่อนเพคะ” อันหลิงเกอขมวดคิ้วเพราะเรื่องนี้มิสามารถตัดสินใจเองได้
“ขอบคุณพระชายามู่ ! วันข้างหน้าข้ายินดีเป็นนักพรตหญิงภายใต้พระพุทธคุณและถวายประทีปโคมไฟในวัดเพื่ออวยพรให้ท่านอ๋องกับพระชายามู่ได้มีชีวิตราบรื่นสืบไป” หลี่กุ้ยเฟยซาบซึ้งใจอย่างมาก ขอแค่อันหลิงเกอช่วยสนับสนุนบุตรชายของนางก็มากพอแล้ว
เพียงแต่การตัดสินใจเยี่ยงนี้ของหลี่กุ้ยเฟยทำให้อันหลิงเกอรู้สึกประหลาดใจอยู่มิน้อย ความหยิ่งผยองครั้งอดีตแต่บัดนี้ยอมถวายตัวอยู่ใต้พระพุทธคุณและประทีปโคมไฟ ดูท่าแล้วคงปล่อยวางจริง ๆ
น่าเสียดายที่บิดาขององค์ชายน้อยเป็นถึงฮ่องเต้ที่มีทายาทมากมายจึงมิได้ใส่ใจเด็กที่อ่อนแอผู้นี้แม้แต่น้อย
ครั้งนี้หลี่กุ้ยเฟยก็มองออกว่าอันหลิงเกอมีจิตใจเมตตาเป็นห่วงโอรสของนางด้วยใจจริง คิดแล้ววันข้างหน้าอันหลิงเกอมิมีทางปฏิบัติกับองค์ชายน้อยอย่างมิยุติธรรมแน่นอน
“ทว่าเหตุใดกุ้ยเฟยต้องออกบวชด้วยเพคะ ? ” อันหลิงเกอสงสัยเพราะในเมื่อมอบองค์ชายพระองค์นี้ให้พวกตนแล้วก็มิจำเป็นต้องออกบวช หากหลี่กุ้ยเฟยออกบวชไปแล้ววันข้างหน้าอาจลำบากและเรื่องนี้อันหลิงเกอรู้ดีแก่ใจ
“ข้าก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมายจึงมิมีทางให้อภัยตนเอง หวังแค่วันข้างหน้าได้อยู่สวดมนต์อวยพรให้ฝ่าบาท ท่านอ๋องและพระชายารวมทั้งองค์ชายก็ดีมากแล้ว”
หลี่กุ้ยเฟยยกยิ้มให้อันหลิงเกอที่มองออกว่าอีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้วจึงมิได้กล่าวอันใดอีก
วันต่อมา หลี่กุ้ยเฟยมอบสาวใช้นางหนึ่งให้อันหลิงเกอและปรารถนาให้อันหลิงเกอรับไว้ วันข้างหน้าจักได้ดูแลองค์ชายน้อยซึ่งอันหลิงเกอมิได้ปฏิเสธเพราะลูกน้องของนางก็มีมิมาก คนนอกก็มิวางใจ หากใช้คนของหลี่กุ้ยเฟยก็เหมาะสมที่สุดแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกของราชวงศ์ต้าโจวที่ปล่อยให้ท่านอ๋องและพระชายามาดูแลองค์ชาย
ทว่าก่อนที่หลี่กุ้ยเฟยจะเสด็จออกจากวัง ดูเหมือนได้ปรึกษากับฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว เยี่ยงนี้ฮ่องเต้ทรงทราบดีว่าวันข้างหน้าจักใช้ประโยชน์จากตระกูลหลี่และจวนอ๋องมู่ก็มิมีทางเกิดความบาดหมางใดขึ้นอีก ดังนั้นพระองค์จึงเบิกบานพระทัยยิ่งนัก
แต่น่าเสียดายที่อันหลิงเกอมิเคยมีทายาทมาก่อน ครั้นเห็นเจ้าตัวเล็กก็มิรู้ว่าต้องทำเยี่ยงไร
บัดนี้องค์ชายน้อยยังนอนหลับอยู่บนเตียง เขายังเด็กและมิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
หลังสนทนากันเสร็จแล้ว หลี่กุ้ยเฟยก็ปิดประตูมิออกไปไหนอีก นางแค่รอวันที่จะได้เข้าไปอยู่ในวัด ส่วนอันหลิงเกอได้รับองค์ชายน้อยมาอยู่ในเรือนฝูหลิง หลังจากที่มู่จวินฮานทราบก็มิได้กล่าวอันใด เพราะอย่างไรอันหลิงเกอก็มีศักดิ์เป็นนายหญิงของจวน ฮ่องเต้เองก็ยอมรับเช่นกันเพราะการให้องค์ชายน้อยอยู่กับจวนอ๋องมู่ถือเป็นตัวเลือกดีที่สุดแล้ว
แท้จริงแล้วมู่จวินฮานก็รู้ว่าโอรสของหลี่กุ้ยเฟยพระองค์นี้ยังเยาว์เกินไป จักลุกขึ้นมาแก่งแย่งบัลลังก์ก็แทบเป็นไปมิได้ หลี่กุ้ยเฟยจึงนำตัวเด็กคนนี้มาฝากเลี้ยงในจวนอ๋องมู่ทั้งยังฝากความไว้วางใจแก่องค์ชายเจ็ดอีกด้วย
สักวันหนึ่งองค์ชายเจ็ดและพระอนุชาร่วมครรภ์เดียวกันจะสมัครสมานสามัคคี บางทีอาจมีความช่วยเหลือจากจวนอ๋องมู่อีกแรง
ทว่ามู่จวินฮานคำนวณไว้แล้วเช่นกัน ในเมื่อองค์ชายเจ็ดมิใช่องค์รัชทายาท ดังนั้นมู่จวินฮานมิมีทางยืนมองจ้าวหลานหยู่ครองบัลลังก์เป็นแน่
องค์ชายน้อยและอันหลิงเกอใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก ในอนาคตเมื่อเขาเติบใหญ่ก็คงเรียกนางว่าท่านแม่บุญธรรมได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
อันหลิงเกอเฝ้าฟูมฟักองค์ชายน้อยอย่างรักใคร่ดุจบุตรของตน นางดูแลในทุกเรื่องของเขาและเฝ้ามองเขานอนหลับไปทุกคืน
มู่จวินฮานก็เพลิดเพลินกับความรู้สึกเยี่ยงนี้ราวกับเขาและอันหลิงเกอมีบุตรด้วยกันอย่างแท้จริง แต่ในเวลาเดียวกันมู่จวินฮานก็รู้สึกคาดหวังและเฝ้ารอที่จะได้มีเด็กน้อยมาเติมเต็มจวนอ๋องมู่ให้สมบูรณ์
ทว่าเรื่องที่อันหลิงเกอมิอาจรู้ก็คือสาวใช้นามว่าเสี่ยวเสวียที่อยู่ปรนนิบัติข้างวรกายขององค์ชายน้อยมาโดยตลอดเป็นคนขององค์ชายเจ็ด
ความจริงแล้วเสี่ยวเสวียเป็น*ชื่อเฉี้ยคนแรกขององค์ชายเจ็ด ต่อมาก็ถูกหลี่กุ้ยเฟยพบเข้าจึงนำตัวนางเข้าวังหลวงเพื่อมิให้ทั้งสองคนมีสัมพันธ์กันอีก
บัดนี้เสี่ยวเสวียพยายามแก้แค้นอันหลิงเกอเพื่อองค์ชายเจ็ด แต่มิรู้ว่าควรลงมือเยี่ยงไร เพราะข้างกายของอันหลิงเกอมีการคุ้มกันของชิงเฟิงตลอดเวลา ทั้งยังมีปี้จูและหมิงซินอีก นางจึงไร้โอกาสได้ลงมือ
วันนี้เสี่ยวเสวียแกล้งอ้างชื่อของอันหลิงเกอว่าส่งของบำรุงมาให้มู่จวินฮาน ทันทีที่มู่จวินฮานได้ยินว่าเป็นของที่อันหลิงเกอส่งมาก็มิปฏิเสธ
“เรียนท่านอ๋อง วันนี้พระชายาเล่นกับองค์ชายน้อยและคงเหนื่อยล้ามาก ดังนั้นก่อนเข้านอนจึงสั่งให้เสี่ยวเสวียมาส่งของสิ่งนี้ให้ท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานพยักหน้ารับ เสี่ยวเสวียจึงรีบนำซุปออกมาจัดวางไว้ตรงเบื้องหน้าของมู่จวินฮานซึ่งทานลงไปโดยมิลังเลและมิได้สงสัยอันใด
เขามิได้สังเกตว่าสีหน้าของเสี่ยวเสวียเปลี่ยนไปแล้ว นาง*ทุบหม้อข้าวจมเรือ ดังนั้นทำแล้วก็ต้องทำให้สุด ยามนี้เห็นมู่จวินฮานดื่มซุปแล้วก็วางใจ
เมื่อครู่นางใส่ยาลงในซุป อีกมินานก็เชื่อว่ามู่จวินฮานต้องรู้สึกเป็นแน่เพราะยาชนิดนี้จะทำให้เขาหมดสติ
เป็นตามที่คาดไว้จริง มินานมู่จวินฮานก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขายังมิทันได้คิดโดยละเอียดก็ฟุบบนโต๊ะแล้ว
ยาออกฤทธิ์ได้ดี ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้การป้องกันตัวจึงทำให้มู่จวินฮานติดกับ
เสี่ยวเสวียรู้ว่ามินานอันหลิงเกอต้องมาตรวจงานราชการกับมู่จวินฮานที่ห้องหนังสือ
นางเรียนรู้วิธีปรุงยาจากองค์ชายเจ็ดมาโดยตลอดและเชี่ยวชาญด้านการวางยาด้วย นางจึงรู้ปริมาณการใช้ยาเป็นอย่างดีและรู้ว่ามินานตอนที่อันหลิงเกอมาถึง มู่จวินฮานก็คงตื่น
เมื่ออันหลิงมาถึงหน้าประตูก็เห็นเงาเคลื่อนไหวอยู่ภายใน นางรู้สึกแปลกใจมิน้อยเพราะเดิมทีภายในห้องของมู่จวินฮานมิมีผู้ใดคอยปรนนิบัติรับใช้ แต่วันนี้…
นางจึงผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นถ้วยลายครามที่อยู่ในมือก็ร่วงหล่นลงพื้นและในเวลาเดียวกันมู่จวินฮานก็ตื่นขึ้นมา ภายใต้ความสะลึมสะลือเขาได้เงยหน้าขึ้นและมองมาทางประตู
ในตอนที่เห็นอันหลิงเกอ มู่จวินฮานยังมิทันได้สติครบถ้วน ใบหน้าของเขาแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจและกำลังเตรียมลุกไปหาอันหลิงเกอแต่รู้สึกได้ถึงความหนักบนร่างกาย
ทันทีที่มู่จวินฮานเห็นเสี่ยวเสวียนอนคว่ำอยู่บนร่างก็รีบสะบัดเสี่ยวเสวียออกและโยนลงพื้นโดยเร็ว
“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึง…” เสี่ยวเสวียยังกล่าวมิจบก็รีบเก็บเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาห่อตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วิ่งไปทางอันหลิงเกอแล้วซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเจ้านาย ท่าทางร้องไห้คร่ำครวญทำให้อันหลิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย
ภาพตรงหน้ามิว่าผู้ใดเห็นก็ต้องเข้าใจทั้งนั้น แต่ในเวลาเดียวกันอันหลิงเกอก็มิยอมเชื่อเพราะมู่จวินฮานมิมีทางทำเยี่ยงนี้
ทว่าในเมื่อเกิดขึ้นแล้วนางก็คงเพิกเฉยมิได้
“รีบใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้!” อันหลิงเกอเอ่ยกับเสี่ยวเสวียพลางมองไปยังมู่จวินฮานที่ยังสะลึมสะลืออยู่บนเตียง
…
*ชื่อเฉี้ย เป็นอนุภรรยาที่มาจากสามัญชนมียศต่ำกว่าเช่อเฟยแต่ยังไม่ต่ำสุด
*ทุบหม้อข้าวจมเรือ หมายความว่า เมื่อไปแล้วต้องรบให้ชนะ ถอยกลับไม่ได้เป็นอันขาดเพราะถ้าไม่ชนะก็ต้องตาย