พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 496 โดนขังในหุบเขากู่
ตอนที่ 496 โดนขังในหุบเขากู่
เมื่อได้ยินประโยคนี้ แววตาของชายตรงหน้าก็เปลี่ยนไปฉับพลัน จากนั้นก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง เพียงแต่สายตาที่มองอันหลิงเกอนั้นแฝงไปด้วยความซุกซนมิน้อย
“ให้นางอยู่ต่อ”
อยู่ต่อหรือ ?
อันหลิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วลองเสี่ยงดวงสักครา นางมิยอมทิ้งอิสรภาพของตนไว้ที่นี่ !
นางกำปิ่นปักผมที่อยู่ในมือแน่น แม้สูญเสียเรี่ยวแรงแต่ยังแข็งแรงอยู่ ในชั่วอึดใจเดียว นางก็ยกปลายแหลมคมของปิ่นปักผมขึ้นมาจากนั้นก็พุ่งตัวตรงหน้าของชายผู้นั้น เพียงแต่ในเวลาเดียวกันอันหลิงเกอก็สัมผัสได้ถึงร่างกายที่อ่อนแอลงอย่างฉับพลัน
“เจ้าทำอันใดข้า ? ”
นางยังสัมผัสได้ว่าในยามเข้าใกล้ชายผู้นั้นอากาศที่สูดดมเข้าไปแฝงไว้ด้วยบางอย่างที่ผิดปกติ
“แค่หลงใหลเคลิบเคลิ้มเท่านั้น หากพระชายามู่รู้สึกชอบข้าก็คงเต็มใจอยู่ที่นี่มิใช่หรือ ? ”
“เจ้า ! ” อันหลิงเกอทั้งรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและรู้สึกโกรธเคือง
นางยังคาดเดาสถานะของชายตรงหน้าอย่างคลุมเครือ เกรงว่าเป็นฟางหลิงซู่ เจ้าแห่งหอพิษกู่เป็นแน่!
เขาเชี่ยวชาญด้านการวางยาพิษ หากเป็นเวลาปกตินางอาจทัดเทียมเขาได้ แต่ตอนนี้ภายใต้เงื่อนไขที่มิยุติธรรม นางจึงหมดหนทางสู้จริง ๆ
ฟางหลิงซู่ นางเคยได้ยินซูโจวเอ่ยถึงบุคคลนี้ว่ามีความคิดเช่นเดียวกับฟางซู่ซู่ เพียงแต่ชายผู้นี้ลึกลับกว่า
เมื่อคำนวณแล้วก็ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ฟางซู่ซู่จักมีส่วนร่วมด้วย
“ท่านควรรู้ว่าหากเข้ามาในหอพิษกู่ของข้าแล้วต้องมีเงื่อนไข”
ในขณะที่อันหลิงเกอกำลังทุกข์ทรมานนั้น เขาก็เอียงคอไปยังข้างหูของนาง ทุกถ้อยคำที่ออกมาล้วนแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ชวนหลงใหล
“เงื่อนไข เงื่อนไขอันใด ? ” อันหลิงเกอขบกรามแน่นพลางมองไปทางเขา นางรู้ว่าเวลานี้หากนางมิยอมแพ้ก็เกรงว่าจักสูญเสีย นางมิใช่คนที่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด แต่ก็เข้าใจว่าการรักษาชีวิตของตนสำคัญที่สุด
“อยู่ต่อเถิด” น้ำเสียงของฟางหลิงซู่ราบเรียบราวกับเป็นประโยคบอกเล่า มิได้แฝงความข่มขู่แต่อย่างใด
“ข้าหนีไปไหนมิได้หรอก” อันหลิงเกอยิ้มอย่างขมขื่น ความรู้สึกมิสบายตัวได้ทวีความรุนแรงขึ้น นางรู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าวราวกับโผล่ขึ้นมาจากน้ำเดือดจนเปียกชุ่มไปทั้งร่าง แม้แต่ตัวนางเองก็มิอยากสัมผัสมัน
“ข้าอยากให้ท่านเต็มใจช่วยงาน”
น้ำเสียงนั้นหากเป็นยามปกติ อันหลิงเกอคงคิดว่าคนผู้นี้กำลังปรึกษาหารือกับตน แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคือฟางหลิงซู่และนางรู้ว่าคงมิมีเวลาว่างพอปรึกษากับเขาได้
“ได้ ข้า เต็มใจ!”
อันหลิงเกอกัดฟันตอบรับ มิรู้ว่าสิ่งที่กำลังรอตนอยู่คือสิ่งใด แต่สัมผัสได้ว่าหากมิตอบรับ สิ่งที่รอตนอยู่คงเป็นเพียงความทุกข์ทรมานไร้วันสิ้นสุด
“เช่นนั้นท่านก็อยู่ในหุบเขากู่เป็นเพื่อนข้าได้แล้ว”
ในขณะที่กล่าว เขาก็ดึงแขนเสื้อขึ้น ดูเหมือนอันหลิงเกอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกไหลเข้ามาทางรูจมูกแล้วไหลจากลำคอลงด้านล่าง ความรู้สึกสบายนี้ทำให้ความมิสบายตัวเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง
“ดี” เมื่อนางหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก็ทำการมองไปรอบด้าน แม้ที่นี่เป็นหุบเขากู่ทว่าก็มิเป็นไรเพราะอย่างน้อยนางก็ยังมีชีวิตรอด
นางยังตายมิได้ นางยังมิได้ชำระแค้นให้มารดา อันหลิงอีก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
“ทานสิ”
เมื่อเห็นยาเม็ดที่ยื่นมาตรงหน้า อันหลิงเกอก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งหัวใจ หากกลืนยานี้ลงไปแล้วเกรงว่านางจักขาดมันมิได้อีก
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรับยามากลืนลงคออย่างมิลังเล
นางมีทางเลือกที่สองหรือไร ? การตัดสินใจเด็ดขาดเป็นเพียงทางเลือกที่ทำให้นางสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้เท่านั้น
แต่คาดมิถึงว่าฟางหลิงซู่ผู้นี้จักคืนสิ่งที่สูญเสียไปแล้วให้นาง
“เจ้า…”
อันหลิงเกอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เรี่ยวแรงทั้งหมดฟื้นคืนมา ส่วนความรู้สึกหนักหน่วงและอ่อนแอเหล่านั้นก็มลายหายไปสิ้น เหลือเพียงลมหายใจที่เย็นเยือกในโพรงจมูก ร่างกายของนางฟื้นตัวมาแล้ว นี่มิใช่ยาพิษแต่อย่างใด
“หากได้ตัวท่านที่ถูกสะกดพลังมาไว้ข้างกาย ท่านก็เป็นได้แค่ขยะไร้ประโยชน์เท่านั้น
อันหลิงเกอรู้ว่ายิ่งเขาใจกว้างมากเท่าไรก็ยิ่งพิสูจน์ศักยภาพของเขาได้เท่านั้น เดิมทีเขามิได้กลัวว่านางจะหนีเลย
หรือกล่าวได้ว่าเขามั่นใจในหอพิษกู่ที่มิมีผู้ใดหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว
ตอนนี้อันหลิงเกออยู่ที่นี่อย่างมิสบายใจ ในเวลาเดียวกันภายในจวนอ๋องมู่ก็กำลังเละเหมือนโจ๊กหนึ่งหม้อ
หลังพบว่าพระชายามู่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ภายในจวนก็เริ่มออกตามหา เพียงแต่การหายตัวไปของอันหลิงเกอนั้นมิทิ้งร่องรอยไว้จริง ๆ
“ช่างเถิด หยุดตามหาได้แล้ว”
น้ำเสียงของมู่จวินฮานบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า พวกเขาคิดว่าอันหลิงเกอจากไปด้วยตนเอง ในโลกใบนี้เขามิคิดว่าจักมีผู้ใดบีบบังคับให้นางจากไปได้ เว้นเสียแต่นางไปเอง
“แต่ท่านอ๋อง…”
“พอแล้ว ออกไป”
ในใจของมู่จวินฮานว่างเปล่า แม้บัดนี้อวี๋หมิงหลันและจ้าวหลานหยู่ยังอยู่ในจวน แต่เขามิมีกะจิตกะใจไปเยี่ยมเยือน ดูเหมือนว่าอารมณ์และความรู้สึกทั้งหมดของเขาถูกสตรีที่หายตัวไปนำติดตัวไปด้วย
“ในเมื่อพระองค์ทำให้อันหลิงเกอจากไป เช่นนั้นหม่อมฉันก็มิควรอยู่ในจวนอ๋องมู่ต่อ”
อวี๋หมิงหลันมองจ้าวหลานหยู่อย่างดื้อรั้น นางมิอยากอยู่ที่นี่ต่อเพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งมู่จวินฮานรู้ความจริงแล้วจักลบล้างความงดงามในอดีตไปสิ้น
“แล้วแต่เจ้า”
ในขณะที่จ้าวหลานหยู่กำลังดีใจเรื่องแผนการสำเร็จนั้น เขาก็มิได้สนใจนางเลย บัดนี้อันหลิงเกอถูกทำลายแล้ว เขารู้แก่ใจดีว่าการส่งอีกฝ่ายไปยังหอพิษกู่แห่งนั้นก็มิมีวันออกมาได้ตลอดชีวิต !
เดิมทีเขาคิดทำลายนางแต่ก็เสียดายเพราะอย่างไรอันหลิงเกอก็ฉลาดปราดเปรื่อง หากในอนาคตเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็จำเป็นต้องมีคนเยี่ยงนี้เพื่อรวบรวมอำนาจกับเขา
แต่อันหลิงเกอมิมีวันยอมเขาแน่ เช่นนั้นจึงมิอาจทนเห็นนางอยู่เคียงข้างมู่จวินฮานเฉย ๆ ได้ !
เปรียบเทียบกับการสังหารนางแล้ว การส่งนางไปอยู่ในหอพิษกู่แห่งนั้นคงทำให้นางมิออกมาเพ่นพ่านได้อีก
น่าเสียดายที่จ้าวหลานหยู่ประเมินอันหลิงเกอต่ำไป มิว่านางอยู่ที่ไหนก็ล้วนเป็นอันหลิงเกอและเป็นพระชายามู่ ในเมื่อต้องฝึกฝนอยู่ในหอพิษกู่ นางก็ยังมีความเฉิดฉายของตน !
บัดนี้นางอยู่ในหุบเขากู่ เมื่อเห็นคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากฟางหลิงซู่ยืนต่อแถวอยู่นอกหอพิษกู่ นางจึงมีความคิดบางอย่างต่อหอพิษกู่แห่งนี้
ที่นี่ดูเหมือนเป็นหอพิษกู่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน มีนักฆ่าดีที่สุดในใต้หล้าและในเวลาเดียวกันก็เป็นสถานที่หลบภัยซึ่งนักฆ่าทุกคนล้วนมาอาศัยอยู่ทั้งสิ้น
ความสามารถของนางค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาทุกวัน แทบมิต่างอันใดกับในอดีตแล้ว ช่วงเวลานี้ฟางหลิงซู่ก็มิได้มารบกวนแต่ให้นางอยู่ในเรือนซึ่งตั้งอยู่ข้างเรือนของเขาอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้นางสงบจิตสงบใจชั่วขณะ
“อันหลิงเกอกู่เหนียง”
อาโผมาหาอีกครั้ง
บัดนี้นางรู้แล้วว่าอาโผเป็นหญิงสาวที่มีอายุมิต่างจากตน เพียงแต่มักแต่งกายเหมือนแม่เฒ่าอายุมากเพื่อให้ยากต่อการจำแนก
“คุณชายสั่งให้ข้ามาเรียกท่านไปทำภารกิจ”
ภารกิจหรือ ? ฟางหลิงซู่ปล่อยนางแล้วหรือไร ?
“นี่คือเงื่อนไขในการทำภารกิจครานี้ ท่านลองดูแล้วกัน จากนั้นก็ไปหยิบอาวุธที่จำเป็นต้องใช้ในป่าแล้วตามข้าออกไป” แม้อันหลิงเกอสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ยังทำตามที่อาโผกล่าว
มิว่าฟางหลิงซู่เชื่อนางหรือไม่ก็ตาม หากสบโอกาสหนีได้ นางก็มิมีวันปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไปเด็ดขาด !