พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 507 ภารกิจของฮ่องเต้
ตอนที่ 507 ภารกิจของฮ่องเต้
อันหลิงเกอรู้ว่าเพราะเหตุใดจึงให้นางเข้าวัง “ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปเพียงผู้เดียวก่อนเถิด ข้าจักไปให้ทันกำหนดและมิสายแน่นอน”
ตอนนี้เรื่องของหอพิษกู่เลื่องลือไปทั่วต้าโจว ฮ่องเต้คงอยากให้นางทำเรื่องอันใดบางอย่างแทนพระองค์
ขันทีผู้นั้นพยักหน้า “พระชายาต้องไปถึงตามกำหนดขอรับ” กล่าวจบก็จากไป
อันหลิงเกอพยักหน้า จากนั้นก็หันไปสั่งปี้จู “เตรียมตัวให้ข้าเพื่อเข้าวัง”
ปี้จูจัดเตรียมทุกสิ่งอย่างด้วยความราบรื่น ช่วยผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้อันหลิงเกอและเกล้ามวยผม เมื่อมาถึงวังหลวงแล้ว อันหลิงเกอก็พบมู่จวินฮานโดยมิคาดคิดและนึกมิถึงว่าจ้าวหลานหยู่กับอวี๋หมิงหลันก็อยู่ด้วย
ครั้นเห็นพวกเขาแล้วอันหลิงเกอก็ยิ่งมั่นใจว่าครั้งนี้ฮ่องเต้ต้องการใช้ประโยชน์จากนางแน่นอน
อวี๋หมิงหลันเห็นอันหลิงเกอก็ยกยิ้มและกล่าวว่า “เหตุใดต้องเข้าวัง ข้าคิดว่าพระชายาก็น่าจะทราบเหตุผลดี”
จากนั้นอันหลิงเกอก็ตอบกลับ “ข้ามิสู้ความฉลาดของเจียงเช่อเฟย ได้โปรดช่วยชี้แนะข้าด้วยเถิด” อันหลิงเกอแสดงท่าทีมิรู้อันใดใส่อวี๋หมิงหลัน
“มิว่าอย่างไรเราก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ” เมื่ออวี๋หมิงหลันเอ่ยถึงภารกิจก็ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกหวั่นไหวมิน้อย
แต่ยังมิทันได้คิดอันใด มู่จวินฮานก็เดินมาข้างกายของนาง ครั้นเห็นนางพยักหน้าแล้วทั้งสี่คนก็เดินเข้าด้านในพร้อมกัน
ด้านฮ่องเต้ที่ทอดพระเนตรทั้งสี่คนเดินเข้ามาด้วยกันจึงแย้มพระโอษฐ์และตรัสว่า “ข้าคิดว่าพวกเจ้าทั้งสี่คงเข้าใจแล้วจึงเดินเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง ! ”
มู่จวินฮานพยักหน้าอย่างอ่อนน้อม ส่วนจ้าวหลานหยู่ที่อยู่ด้านข้างเหมือนมิเต็มใจสนทนากับฝ่าบาท และในสายตาของอันหลิงเกอ ภาพนี้ช่างน่าขบขันยิ่งนัก
ตั้งแต่ต้นจนจบจ้าวหลานหยู่คิดว่าตนเป็นคนสำคัญมาโดยตลอดหรือ ?
“เอาล่ะ พวกเจ้ามิต้องมากพิธีเพราะล้วนเป็นคนที่ข้าต้องพึ่งพาในอนาคต” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมู่จวินฮานแสดงความเคารพจึงเข้าจุดประสงค์กับพวกเขา
“พระชายามู่เป็นอย่างไรบ้าง ? การที่เจ้าปฏิบัติภารกิจเพื่อข้า คุณค่าของเจ้าได้ปรากฏออกมาแล้ว” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ครั้งนี้ทรงมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปต่ออันหลิงเกอและมู่จวินฮานอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญต่ออันหลิงเกอ เพราะต้องใช้ประโยชน์จากสองสามีภรรยา
อันหลิงเกอยักไหล่เล็กน้อยจากนั้นก็ทูลว่า “พระดำริของฝ่าบาทถูกต้องแล้วเพคะ”
เป็นอย่างที่คาดไว้จริง พอได้ยินประโยคนี้แล้วฮ่องเต้ก็ตกตะลึง “หากสำเร็จแล้วข้าจักตกรางวัลให้อย่างงาม ! ”
เมื่อได้ยินฮ่องเต้ตรัสเยี่ยงนี้ มู่จวินฮานและจ้าวหลานหยู่ก็ทูลด้วยน้ำเสียงลำบากใจพร้อมกัน “นี่เป็นเรื่องภายในของขุนนางพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะรู้สึกว่าพวกเจ้าทั้งสี่…อาจแยกแยะสูงต่ำได้”
หึ ใครสูงใครต่ำ อันหลิงเกอรู้แผนการในหทัยของฮ่องเต้เป็นอย่างดี
อวี๋หมิงหลันขมวดคิ้วเล็กน้อยและทูลว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นเพียงสตรี หวังแค่อยู่เคียงข้างเจียงอ๋องก็พอแล้วเพคะ” ในขณะที่กล่าวอวี๋หมิงหลันก็มองไปทางจ้าวหลานหยู่ด้วยความเขินอาย
อันหลิงเกอที่เห็นภาพนี้จึงรู้ว่าบัดนี้ทั้งสองคนมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน นางเชื่อว่าอวี๋หมิงหลันจักปล่อยวางจากมู่จวินฮานได้
เยี่ยงนั้นก็ดีเพราะหากอวี๋เฉิงกู้โดนมู่จวินฮานควบคุมได้ วันข้างหน้าคงมีประโยชน์เป็นแน่
“เรื่องของหอพิษกู่ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจักพยายามเต็มที่ ส่วนสตรีทั้งสองนี้ข้าเชื่อว่าตนมองคนมิผิด” สายพระเนตรของฮ่องเต้พุ่งไปทางอันหลิงเกอ
อันหลิงเกอคาดเดาเอาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมิได้หลบเลี่ยง ตรงกันข้ามคือยกยิ้มให้ฮ่องเต้ “เกรงว่าฝ่าบาทประเมินหม่อมฉันสูงเกินไปแล้วเพคะ หอพิษกู่ดำรงอยู่ในต้าโจวมาเนิ่นนาน คิดกำจัดในคราวเดียวก็เกรงว่าเป็นไปมิได้เพคะ”
การที่อันหลิงเกอทูลตามตรง แม้ทำให้ฮ่องเต้มิพอพระทัยเล็กน้อยแต่พระองค์แค่แย้มพระโอษฐ์ จากนั้นก็เหลือบสายพระเนตรไปทางจ้าวหลานหยู่และอวี๋หมิงหลัน
ดูเหมือนอวี๋หมิงหลันเข้าใจความหมายของฮ่องเต้เป็นอย่างดี นางก้าวขึ้นหน้าและทูลว่า “หม่อมฉันเป็นกังวลแทนฝ่าบาทจริง ๆ เพคะ”
เมื่อได้ยินอวี๋หมิงหลันกล่าวเยี่ยงนี้ก็ทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยมาก
“อ๋องมู่ เจ้าคิดว่าเยี่ยงไร ? ” ฮ่องเต้โยนคำถามไปทางมู่จวินฮาน เวลานี้มู่จวินฮานย่อมรู้ดีว่าอันหลิงเกอคิดเยี่ยงไรและก็รู้ว่าฮ่องเต้มีจุดประสงค์อันใด
เพียงแต่ภายใต้สถานการณ์เยี่ยงนี้ หากเขาปฏิเสธก็เกรงจักถูกตราหน้าว่าทรยศเป็นแน่
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเห็นเขาลำบากใจจึงกระซิบอยู่ด้านข้าง และสถานการณ์เยี่ยงนี้ตกอยู่ในสายตาของอวี๋หมิงหลันจึงทำให้อดอิจฉาอันหลิงเกอมิได้
มิรู้ว่าเพราะเหตุใดแม้ได้อยู่ข้างกายจ้าวหลานหยู่มาเนิ่นนาน แต่นางสัมผัสได้ว่าตนขี้ขลาดกว่าอดีต มิอาจแบกรับเรื่องที่หนักหน่วงมากเกินไปได้
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฮานกัดฟันตอบรับ
เมื่อเห็นเขาเป็นเยี่ยงนี้ฮ่องเต้ก็พยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยพลางทอดพระเนตรไปยังอันหลิงเกอ “มีเพียงกำจัดหอพิษกู่จึงสามารถปกป้องราษฎรของข้าได้”
หลังกลับถึงจวน
“ปี้จู เจ้ามากับข้า”
อันหลิงเกอเห็นปี้จูกำลังซักเสื้อผ้าจึงเรียกนางมาด้านข้าง
“พระชายามีอันใดหรือเจ้าคะ ? ”
“ก่อนหน้านี้ให้เจ้าร่ำเรียนวิชาแพทย์กับข้า ดูเหมือนเจ้ายังมิสบโอกาสเรียนเลย” ปี้จูพยักหน้า มิรู้ว่าอันหลิงเกอจะกล่าวอันใด
“ตั้งแต่บัดนี้เจ้าต้องมาเรียนกับข้า ส่วนเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ก็มอบหมายสาวรับใช้ที่ชอบจุ้นเรื่องในจวนอ๋องจัดการ”
“พระชายา คนในจวนอ๋องก็มีตั้งมากมาย หากบ่าวมิทำตามกฎระเบียบก็เกรงว่า…”
“ตัวข้าพระชายา แม้แต่สาวใช้คนเดียวก็ยังปกป้องมิได้หรือ ? ” ได้ยินคำพูดของอันหลิงเกอ ปี้จูก็ซาบซึ้งใจจนกล่าวอันใดมิออกแต่ยังมองผู้เป็นนายด้วยความรู้สึกจนใจ
“แต่…”
“ยังมีอีกสองคนเรียนด้วย เจ้ามิถูกตำหนิหรอก” อันหลิงเกอคลี่ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ชิงเฟิง หมิงซิน เข้ามาสิ”
อันหลิงเกอคิดอยากปกป้องทุกคนในจวนอ๋องมู่จึงจำเป็นต้องทำให้คนข้างกายของมู่จวินฮานเป็นที่พึ่งได้เสียก่อน
ดังนั้นนางจึงต้องการสอนปี้จู หมิงซินและให้คนข้างกายของมู่จวินฮานมีความสามารถเพิ่มขึ้นด้วย
“คารวะพระชายาขอรับ” ชิงเฟิงมีหน้าตาหล่อเหลา ปี้จูมีโอกาสพบเขามิน้อยแต่ก็ยังอดหน้าแดงมิได้
“ข้าให้ท่านอ๋องบอกเจ้าแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเจ้าต้องหาเวลามาเรียนกับข้า”
“ขอรับ ท่านอ๋องสั่งให้บ่าวปกป้องพระชายาในช่วงสองสามวันนี้ขอรับ”
ทันทีที่ฟิงเชิงเอ่ยเรื่องนี้ อันหลิงเกอก็รู้ว่ามู่จวินฮานยังกังวลเรื่องของอาโผและหอพิษกู่ในครั้งที่แล้ว
ทำให้นางอดยิ้มและพยักหน้ารับมิได้ ทว่านัยน์ตาทอดมองไปไกล เมื่อเห็นอันหลิงเกอเป็นเยี่ยงนี้ ชิงเฟิงจึงได้แต่ก้มหน้ามิได้เงยหน้าแต่อย่างใดเพื่อรอให้อันหลิงเกอกล่าวต่อ
หากเป็นเยี่ยงนี้นางต้องไปมาหาสู่กับหอพิษกู่เสียหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้นคือหอพิษกู่ก็มีวิชาพิษมิธรรมดา ทักษะการแพทย์ของนางยังมิอาจกำราบได้จึงนึกอยากฝากความหวังไว้ในจวนอ๋อง
“ข้าแค่หวังให้พวกเจ้ามีความสามารถป้องกันตนเองและปกป้องจวนอ๋องแห่งนี้ได้”
“ขอรับ” จุดประสงค์ของชิงเฟิงคือการทำตามคำสั่ง เขารู้ว่าอันหลิงเกอหวังดีต่อมู่จวินฮานจึงมิปฏิเสธ
“เอาล่ะ วันนี้ข้าสอนสมุนไพรพวกเจ้าแล้วกัน”
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็พาทั้งสามคนเข้าไปในคลังเก็บยา ปี้จูก็มองไปยังแผ่นหลังของชิงเฟิงตลอดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ดูท่าเขินอายมากทีเดียว